จอห์น ดับบลิว เรย์โนลส์
เรื่องราวเกี่ยวกับการกู้ชีพที่น่าสนใจที่สุดเรื่องหนึ่งที่ผมรู้ก็คือเรื่องของจอร์จ เลนน็อกซ์ โจรขโมยม้าผู้อื้อฉาวแห่งเจฟเฟอร์สันเคาน์ตี้ เขากำลังรับโทษเป็นครั้งที่สอง ครั้งแรกเขาถูกจับเข้าคุกที่เซดก์วิกเคาน์ตี้ข้อหาโขมยม้าเช่นเดียวกัน
ในช่วงฤดูหนาวปี 1887 และ 1888 เขาทำงานในเหมืองถ่านหิน เขาเห็นว่าสถานที่เขาทำงานอยู่นั้นดูไม่ปลอดภัย เขารายงานเรื่องนี้ต่อเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบให้ทำการตรวจสอบ หลังจากตรวจสอบและลงความเห็นว่าพื้นที่นั้นปลอดภัย เจ้าหน้าที่จึงสั่งให้เลนน็อกซ์กลับเข้าไปทำงาน เขากลับเข้าไปอย่างเชื่อฟัง แต่หลังจากนั้นไม่ถึงชั่วโมง เพดานได้ร่วงหล่นลงมาฝังร่างของเขา เขาอยู่ในสภาพนั้นถึงสองชั่วโมงเต็ม
ในช่วงเย็นวันนั้นได้มีการค้นหานักโทษที่สูญหายและพบว่าเขาอยู่ใต้ซากปรักหักพัง ดูเหมือนไม่มีสัญญาณชีพ เขาถูกนำตัวขึ้นไปด้านบน แพทย์ในเรือนจำได้ทำการตรวจสอบและแจ้งว่าเขาได้เสียชีวิตแล้ว ศพของเขาถูกนำส่งโรงพยาบาลเพื่อทำความสะอาดและแต่งกายเตรียมความพร้อมสำหรับพิธีฝัง โลงศพของเขาถูกประกอบขึ้นและส่งไปที่โรงพยาบาล อนุศาสกมาถึงเพื่อทำพิธีไว้อาลัยครั้งสุดท้ายก่อนทำการฝัง เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลสั่งให้นักโทษสองคนยกศพขึ้นจากแผ่นกระดานแล้วนำไปวางในโลงศพที่อยู่อีกด้านหนึ่งของห้อง พวกเขาทำตามโดยคนหนึ่งยกที่ศีรษะ อีกคนยกที่เท้า ระหว่างยกร่างของศพไปได้ครึ่งทาง คนที่อยู่ด้านศีรษะบังเอิญเดินสะดุดกระโถน เขาเสียการทรงตัวและปล่อยศพหลุดมือ ศีรษะของศพกระแทกพื้น และเสียงครวญครางก็ดังขึ้นจนสร้างความประหลาดใจอย่างที่สุด จากนั้นดวงตาของศพก็ลืมขึ้นและสัญญาณชีพก็ปรากฏแพทย์ถูกส่งตัวไปทันที ช่วงสามสิบนาทีต่อมาผู้ตายได้ขอน้ำดื่มหนึ่งแก้ว และเมื่อแพทย์มาถึงก็เห็นว่าเขากำลังดื่มน้ำอยู่
โลงศพถูกยกออกไปและใช้ฝังนักโทษอีกคนหนึ่ง เสื้อคลุมสำหรับฝังศพก็ถูกถอดจากร่างของเขาและเปลี่ยนเป็นชุดนักโทษแทน จากการตรวจร่างกายพบว่าขาข้างหนึ่งหักสองจุด และมีรอยฟกช้ำ เขาอยู่ในโรงพยาบาลประมาณหกเดือน และกลับไปทำงานอีกครั้ง
ผมได้ยินประสบการณ์แปลกๆ ที่ดูเหมือนตายของเขาจากเพื่อนคนงานเหมืองคนหนึ่ง ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ผมอยากจะรู้จักกับเลนน็อกซ์เพื่อได้ยินประสบการณ์ของเขาจากปากเขาเอง ผมต้องรออยู่หลายเดือนเพื่อหาโอกาสนั้น ในที่สุดเวลาก็มาถึง หลังจากที่ย้ายออกจากเหมืองผมได้แจ้งสํานักงานเรือนจำแห่งหนึ่งถึงการทำรายงานประจําปี วันหนึ่งมีการหยิบยกเรื่องราวการฟื้นคืนชีพของชายผู้นี้มาพูดคุยขณะที่เขาเดินผ่านประตูสำนักงานและชี้มาที่ผม จากนั้นผมก็ให้จดหมายสั้นแก่เขา ผมขอให้เขามาที่ทำงานของผม เขาตกลงและจึงทำให้ผมสนิทสนมกับเขาเป็นอย่างดี และได้ยินเรื่องราวอันยอดเยี่ยมจากริมฝีปากของเขาเอง เขาเป็นชายหนุ่มอายุไม่น่าจะเกินสามสิบปี เขาเป็นอาชญากรที่แข็งกระด้าง มีการศึกษาที่ดีและร่าเริงแจ่มใส
จากเรื่องราวของเขา ส่วนที่ดีที่สุดเกิดในช่วงที่เขาเสียชีวิต เนื่องจากผมเป็นนักข่าวจึงบันทึกด้วยการจดชวเลข ตามคำบอกเล่าของเขา
เขากล่าวว่า “ ทุกๆ เช้า ผมสังหรณ์ใจว่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้นอยู่เสมอ ผมรู้สึกไม่สบายใจ ผมเข้าไปหาคุณเกรสันหัวหน้าคนงานเหมืองและบอกเขาว่าผมรู้สึกยังไง ผมขอให้เขาเข้าไปตรวจสอบอุโมงค์ถ่านหินที่ผมขุดอยู่ เขาเข้าไปดูและตรวจสอบอย่างละเอียด เขาบอกว่าไม่มีอันตรายใดๆ และสั่งให้ผมกลับเข้าไปทำงาน เขาคิดว่าผม 'บ้า' ผมกลับเข้าไปทำงานและขุดอยู่ในนั้นเป็นชั่วโมง ทันใดนั้นทุกอย่างก็มืดลง ผมเห็นประตูเหล็กบานใหญ่เปิดออกและผมก็เดินเข้าไป ในใจของผมคิดว่าผมคงตายไปแล้วและอยู่อีกโลกหนึ่ง ผมมองไม่เห็นใคร ไม่ได้ยินเสียงใดๆ ผมเริ่มเดินผ่านออกจากประตูมาไกลพอสมควร จนมาถึงแม่น้ำใหญ่สายหนึ่ง ที่นั่นไม่มืดไม่สว่าง มันสว่างคล้ายกับคืนที่มีแสงดวงดาว ผมยืนอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำได้ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงฝีพาย จากนั้นก็มีคนพายเรือมายังที่ผมยืนอยู่
“ผมพูดไม่ออก เขามองมาที่ผมครู่หนึ่ง เขาบอกว่าเขามาหาผมและให้ผมลงเรือไปกับเขา แล้วพายเรือข้ามไปอีกฝั่งหนึ่ง ผมเชื่อฟังและไม่ได้พูดอะไรสักคำ ผมอยากจะถามเขาว่าเขาเป็นใคร และผมอยู่ที่ไหน ลิ้นของผมเหมือนเกาะติดกับเพดานปากและไม่สามารถพูดอะไรได้ ในที่สุดเราก็มาถึงฝั่งตรงข้าม ผมลงจากเรือและคนพายเรือก็หายวับไปจากสายตา
“เมื่อถูกปล่อยให้อยู่คนเดียว ผมก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร เมื่อมองไปข้างหน้า ผมเห็นถนนสองสายทอดผ่านหุบเขาอันมืดมิด ถนนสายหนึ่งกว้างและดูเหมือนจะราบรื่น อีกสายหนึ่งเป็นทางแคบและเบี่ยงออกไปอีกทาง ผมเดินไปตามถนนที่มีคนพลุกพล่านโดยสัญชาตญาณ ผมไปได้ไม่ไกลนักเพราะดูเหมือนมันจะมืดลง อย่างไรก็ดีมีแสงแวบขึ้นมาแต่ไกลเป็นครั้งคราว มันสว่างพอที่จะทำให้ผมเดินไปตามทาง
“จากนั้นไม่นาน ผมได้พบกับสิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถอธิบายได้ ผมคงทำได้แค่อธิบายรูปลักษณ์อันน่าสยดสยองของเขา เขาดูคล้ายกับผู้ชายแต่ตัวใหญ่กว่ามนุษย์ที่ผมเคยเห็น ตัวของเขาสูงอย่างน้อยสิบฟุต หลังของเขามีปีกขนาดใหญ่ ตัวเขาดำเหมือนถ่านหินที่ผมขุดและอยู่ในสภาพเปลือยเปล่า มือถือหอกด้ามยาวสิบห้าฟุต ดวงตาของเขาเหมือนลูกไฟ ฟันของเขาขาวราวไข่มุกยาวประมาณหนึ่งนิ้ว จมูกของเขา (จะเรียกว่าจมูกก็ได้) ใหญ่ กว้าง และแบน ผมหยาบ หนัก และยาวมาก มันห้อยลงมาบนไหล่อันใหญ่โตของเขา เท่าที่จำได้เสียงของเขาเหมือนเสียงคำรามของสิงโตในโรงเลี้ยงสัตว์
“แวบแรกที่ผมเห็นเขา ผมตัวสั่นเหมือนลูกนก เขายกหอกของเขาขึ้นเหมือนจะพุ่งมาที่ผม ผมหยุดชงัก ผมได้ยินเสียงอันน่าสะพรึงกลัวสั่งให้ผมตามเขาไป เขาถูกส่งมาเพื่อนำทางผม ผมก็ทำตาม ผมจะทำอะไรได้อีกเล่า? หลังจากเดินไปสักพักก็ปรากฏภูเขาลูกใหญ่อยู่เบื้องหน้า ด้านที่อยู่ตรงหน้าเราเหมือนกำแพงตั้งฉาก ราวกับว่าภูเขาถูกตัดเป็นสองส่วนและแยกส่วนหนึ่งออกไป บนกำแพงตั้งฉากนี้ ผมเห็นคำที่เขียนไว้อย่างชัดเจนว่า 'นี่คือนรก' ผู้นำทางของผมเดินเข้าไปใกล้กำแพงนี้ และใช้ด้ามหอกของเขาเคาะสามครั้ง มีประตูบานใหญ่เปิดออกและเราก็เดินผ่านเข้าไป จากนั้นผมก็ถูกคุมตัวเดินผ่านเส้นทางภูเขานี้
“บางครั้งเราเดินท่ามกลางความมืด ผมสามารถได้ยินเสียงฝีเท้าอันหนักหน่วงของผู้นำทางและเดินตามเขาได้ ตลอดทางผมได้ยินเสียงคร่ำครวญว่ามีคนกำลังจะตาย ยิ่งกว่านั้น เสียงคร่ำครวญเหล่านี้มีเพิ่มมากขึ้น และผมก็ได้ยินเสียงร้องว่าน้ำ น้ำ น้ำอย่างชัดเจน เมื่อมาถึงช่องทางผ่านอีกช่องหนึ่ง เมื่อผ่านเข้าไปผมก็ได้ยินเสียงราวนับล้านๆ เสียงจากที่ไกล เป็นเสียงร้องว่าขอน้ำ ขอน้ำ ทันใดนั้น ประตูบานใหญ่อีกบานก็เปิดออกเมื่อผู้นำทางของผมเคาะ ผมพบว่าเราผ่านภูเขาออกมาแล้ว ตอนนี้เบื้องหน้าของผมเป็นที่ราบกว้างใหญ่
“ผู้นำทางของผมได้ทิ้งผมไว้ที่นี่เพื่อกลับไปนำวิญญาณอื่นๆ ที่หลงหายไปยังจุดหมายเดียวกัน สักพักหนึ่งก็มีสิ่งที่มีลักษณะคล้ายกับผู้นำทางคนแรกมาหาผม ในมือของเขามีดาบเล่มใหญ่ เขาบอกผมถึงหายนะในอนาคตของผม เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่สร้างความสยดสยองให้กับจิตวิญญาณของผมว่า 'เจ้าอยู่ในนรก' เขากล่าวว่า 'สำหรับเจ้า ความหวังของเจ้าหายไปหมดแล้ว ในขณะที่เจ้าเดินผ่านภูเขานี้ เจ้าได้ยินเสียงร้องคร่ำครวญของผู้หลงหาย พวกเขาร้องขอน้ำเพื่อให้ลิ้นที่แห้งผากของพวกเขาเย็นลง ตลอดทางนั้นมีประตูที่เปิดออกสู่บึงไฟ ในไม่ช้าการลงโทษของเจ้าก็จะมาถึง ก่อนที่เจ้าจะถูกส่งไปยังสถานที่แห่งความทุกข์ทรมานในที่ซึ่งไม่มีความหวังสำหรับผู้ที่เข้าไปนั้น เจ้าจะได้รับอนุญาตให้อยู่ในที่ราบโล่งนี้ มันเป็นสถานที่ให้ผู้หลงหายทุกคนได้เห็นความสุขที่อาจได้รับแทนที่จะเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องทนทุกข์
“ผมถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพัง ผมไม่รู้ว่าผลลัพธ์อันน่าสยดสยองที่จะต้องพบนั้นจะเป็นอย่างไร แต่ตอนนี้ผมรู้สึกมึนงง อ่อนเปลี้ยเพลียแรง หมดกำลังวังชา แขนขาไม่มีแรงพอที่จะพยุงตัวได้อีกต่อไป ผมล้มลงอย่างช่วยไม่ได้ และรู้สึกง่วงนอน ในช่วงครึ่งหลับครึ่งตื่นนั้นผมเหมือนฝันเห็นสิ่งที่อยู่เหนือขึ้นไปไกลๆ ผมเห็นเมืองที่สวยงามอย่างที่เราได้อ่านในพระคัมภีร์ มีกำแพงหินโมราที่ดูสวยงาม มันทอดยาวไปไกล ผมเห็นที่ราบกว้างใหญ่ปกคลุมไปด้วยดอกไม้ที่สวยงาม มีธารน้ำแห่งชีวิตและทะเลแก้ว มีทูตสวรรค์จำนวนมหาศาลผ่านเข้าออกประตูเมือง พวกเขาร้องเพลง โอ.. ช่างเป็นบทเพลงที่ไพเราะยิ่ง ท่ามกลางคนเหล่านั้นผมเห็นมารดาวัยชราอันเป็นที่รักของผม ท่านเสียชีวิตเมื่อสองสามปีก่อนเพราะหัวใจสลายเนื่องจากความชั่วร้ายของผม เธอมองมาที่ผมและดูเหมือนจะกวักมือเรียกผมไปหาเธอ แต่ผมไม่สามารถขยับตัวได้ มันเหมือนมีน้ำหนักมหาศาลกดทับผมอยู่ สายลมพัดกลิ่นหอมของดอกไม้มาที่ผม และผมก็ได้ยินเสียงท่วงทำนองอันไพเราะของทูตสวรรค์ชัดเจนกว่าที่เคย และผมก็พูดขึ้นว่า 'โอ้ ผมสามารถเป็นหนึ่งในนั้น'
“ขณะที่ผมกำลังดื่มด่ำกับถ้วยแห่งความสุขนี้ จู่ๆ มันก็พุ่งออกจากริมฝีปากของผม ผมถูกปลุกให้ตื่นจากการหลับใหล ผมถูกพาตัวกลับจากดินแดนแห่งความฝันอันแสนสุขโดยผู้ดูแลสถานอันมืดมิด เขาบอกว่าถึงเวลาที่ผมต้องเข้าสู่งานต่อไปแล้ว เขาให้ผมตามเขาไป เมื่อย้อนรอยทางเดิม ผมก็กลับเข้าไปในทางเดินอันมืดมิดอีกครั้ง ผมเดินตามผู้นำทางของผมอยู่พักหนึ่ง เมื่อมาถึงประตูข้างทางเดินที่เปิดอยู่ เราเข้าไปตามทางนั้นและในที่สุดก็พบว่าเรากำลังเดินผ่านประตูอีกบานหนึ่ง และโอ! ผมเห็นบึงไฟ
“ที่เบื้องหน้าของผม ผมเห็นบึงไฟและกำมะถันยาวไกลจนสุดสายตา เปลวเพลิงขนาดใหญ่ม้วนตัวเข้าหากัน และคลื่นเพลิงที่ลุกโชนพุ่งเข้าหากันและโยนตัวขึ้นไปในอากาศเหมือนคลื่นในทะเลช่วงที่เกิดพายุรุนแรง ที่บนยอดคลื่น ผมเห็นร่างมนุษย์ลอยขึ้นและถูกลากลงมาที่ก้นบึงไฟอันน่าสะพรึงกลัวนี้อีกครั้ง ขณะอยู่บนยอดคลื่นไฟอันน่าสะพรึงกลัว การสาปแช่งต่อพระเจ้าผู้เที่ยงธรรมนั้นน่าสยดสยอง เสียงร้องขอน้ำอันน่าสมเพชของพวกเขาช่างน่าปวดร้าวใจ กองไฟอันกว้างใหญ่นี้สะท้อนเสียงคร่ำครวญของวิญญาณที่หลงหายเหล่านี้ครั้งแล้วครั้งเล่า
“ผมมองไปที่ประตูครู่หนึ่งก่อนที่จะเข้าไป มีถ้อยคำอันน่าสยดสยองที่เขียนไว้ว่า 'นี่คือการลงโทษของเจ้า ตลอดกาล' จากนั้นไม่นาน ผมก็รู้สึกว่าแผ่นดินเคลื่อนตัวอยู่ใต้ฝ่าเท้าและพบว่าตนเองจมดิ่งลงไปในบึงไฟ ตอนนี้ความกระหายน้ำที่อธิบายไม่ได้ก็เข้าครอบงำผม ผมร้องเรียกหาน้ำและลืมตาตื่นขึ้นในเรือนจำของโรงพยาบาล
“ผมไม่เคยเล่าประสบการณ์นี้มาก่อนเพราะกลัวว่าเจ้าหน้าที่เรือนจำจะจับผมและคิดว่าผมเป็นบ้าแล้วขังผมไว้ในบ้านจิตเวช ผมผ่านสิ่งเหล่านี้มาทั้งหมด และพอใจกับการมีชีวิต ที่นั่นมีสวรรค์และมีนรก เป็นนรกแบบโบราณทั่วไปอย่างที่พระคัมภีร์บอก แต่มีสิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือผมจะไม่ไปที่นั่นอีก
“ทันทีที่ผมลืมตาขึ้นในโรงพยาบาล และพบว่าผมยังมีชีวิตอยู่บนโลกนี้อีกครั้ง ผมก็มอบหัวใจให้พระเจ้าทันที ผมจะมีชีวิตอยู่และตายในฐานะคริสเตียนคนหนึ่ง แม้ว่าภาพอันน่าสยดสยองของนรกจะไม่มีวันถูกลบออกจากความทรงจำของผม แต่ความสวยงามในสวรรค์ที่ผมเห็นก็ไม่ได้ถูกลบออกไปเช่นกัน อีกไม่นานผมก็จะได้พบคุณแม่อันเป็นที่รักของผม ผมจะได้นั่งบนฝั่งแม่น้ำที่สวยงาม ได้เดินข้ามที่ราบไปกับทูตสวรรค์ ผ่านหุบเขาและเนินเขาที่ปูพรมไปด้วยดอกไม้ ความงดงามที่เกินกว่ามนุษย์จะจินตนาการ ได้ฟังเพลงของผู้ได้รับความรอด สิ่งนี้เป็นมากกว่าการชดเชยให้ผมได้ใช้ชีวิตคริสเตียนบนโลกนี้ แม้จะต้องละทิ้งความสุขทางโลกที่ได้รับก่อนเข้าคุก เมื่อผมได้รับอิสระภาพอีกครั้ง ผมจะละทิ้งเพื่อนฝูงที่ก่ออาชญากรรมด้วยกัน ผมจะคบหากับคนดี ๆ”
เราได้เล่าเรื่องราวของเลนน็อกซ์อย่างที่เรารับรู้ให้ผู้อ่านได้รับทราบ ขอพระเจ้าอวยพรประสบการณ์นี้ที่จะได้สัมผัสกับวิญญาณที่หลงหายทั้งหลาย
มนุษย์ยังจะสงสัยการมีอยู่จริงของนรกที่เต็มไปด้วยไฟนี้ได้อย่างไร? เรามีทั้งพระคัมภีร์ พระวจนะของพระเจ้า และการเปิดเผยอย่างเรื่องราวของเลนน็อกซ์ที่สอนเรื่องนรกอย่างแท้จริง พี่น้องชายหญิงทั้งหลายเอ๋ย จงหยุดก่อน! จงเผชิญหน้ากับความเป็นจริง! ชีวิตของคุณจะถูกบันทึกไว้ พระเจ้าต้องการช่วยคุณให้รอดและให้อภัยคุณเมื่อคุณเต็มใจยอมรับว่าคุณเป็นคนบาป วิธีเดียวที่จะได้รับความรอดคือได้รับการชำระจากบาป โดยการยอมรับพระโลหิตของพระเยซูคริสต์เป็นเครื่องบูชาไถ่บาปของคุณ เมื่อคุณยอมรับการอภัยโทษจากพระเจ้า พระองค์จะประทานสันติสุขและการพักผ่อนในหัวใจของคุณ คุณสามารถมีอิสระในชีวิตนี้และยิ่งกว่านั้น คุณจะได้รับอิสระที่จะได้สัมผัสกับความสุขแห่งสวรรค์ แทนที่จะเป็นนรกซึ่งไม่ใช่เพียงแค่สี่สิบแปดชั่วโมงเท่านั้นแต่อยู่ในนั้นนิรันดร์กาล
เศรษฐีกับลาซารัส
(ลูกา 16:19-31)
ยังมีศรษฐีคนหนึ่งนุ่งห่มผ้าสีม่วงและผ้าป่านเนื้อละเอียด รับประทานอาหารอย่างประณีตทุกวันๆ และมีคนขอทานคนหนึ่งชื่อลาซารัส เป็นแผลทั้งตัว นอนอยู่ที่ประตูรั้วบ้านของเศรษฐี และเขาใคร่จะกินเศษอาหารที่ตกจากโต๊ะของเศรษฐีนั้น แม้สุนัขก็มาเลียแผลของเขา อยู่มาคนขอทานนั้นตายและเหล่าทูตสวรรค์ได้นำเขาไปไว้ที่อกของอับราฮัม ฝ่ายเศรษฐีนั้นก็ตายด้วย และเขาก็ฝังไว้ แล้วเมื่ออยู่ในนรกเป็นทุกข์ทรมานยิ่งนัก เศรษฐีนั้นจึงแหงนดูเห็นอับราฮัมอยู่แต่ไกล และลาซารัสอยู่ที่อกของท่าน เศรษฐีจึงร้องว่า ‘อับราฮัมบิดาเจ้าข้า ขอเอ็นดูข้าพเจ้าเถิด ขอใช้ลาซารัสมาเพื่อจะเอาปลายนิ้วจุ่มน้ำมาแตะลิ้นของข้าพเจ้าให้เย็น ด้วยว่าข้าพเจ้าตรำทุกข์ทรมานอยู่ในเปลวไฟนี้’ แต่อับราฮัมตอบว่า ‘ลูกเอ๋ย เจ้าจงระลึกว่าเมื่อเจ้ายังมีชีวิตอยู่ เจ้าได้ของดีสำหรับตัว และลาซารัสได้ของเลว แต่เดี๋ยวนี้เขาได้รับความเล้าโลม แต่เจ้าได้รับความทุกข์ทรมาน นอกจากนั้น ระหว่างพวกเรากับพวกเจ้ามีเหวใหญ่ตั้งขวางอยู่ เพื่อว่าถ้าผู้ใดปรารถนาจะข้ามไปจากที่นี่ถึงเจ้าก็ไม่ได้ หรือถ้าจะข้ามจากที่นั่นมาถึงเราก็ไม่ได้’ เศรษฐีนั้นจึงว่า ‘บิดาเจ้าข้า ถ้าอย่างนั้นขอท่านใช้ลาซารัสไปยังบ้านบิดาของข้าพเจ้า เพราะว่าข้าพเจ้ามีพี่น้องห้าคน ให้ลาซารัสเป็นพยานแก่เขา เพื่อมิให้เขามาถึงที่ทรมานนี้’ แต่อับราฮัมตอบเขาว่า ‘เขามีโมเสสและพวกศาสดาพยากรณ์นั้นแล้ว ให้เขาฟังคนเหล่านั้นเถิด’ เศรษฐีนั้นจึงว่า ‘มิได้ อับราฮัมบิดาเจ้าข้า แต่ถ้าคนหนึ่งจากหมู่คนตายไปหาเขา เขาจะกลับใจเสียใหม่’ อับราฮัมจึงตอบเขาว่า ‘ถ้าเขาไม่ฟังโมเสสและพวกศาสดาพยากรณ์ แม้คนหนึ่งจะเป็นขึ้นมาจากความตาย เขาก็จะยังไม่เชื่อ’”
อ่านเพิ่มเติมได้ที่: วิวรณ์ 21:7-8; วิวรณ์ 20:10, 12, 13; 2 เปโตร 3:10-12