คุณได้รับการอภัยหรือยัง? อนาคตอันชั่วนิรันดร์ของคุณขึ้นอยู่กับคำตอบของคำถามนี้ พระคัมภีร์สอนเราว่า “ไม่มีผู้ใดเป็นคนชอบธรรมสักคนเดียว ไม่มีเลย ” (โรม 3:10) ข้อ 23 ของบทเดียวกันกล่าวว่า “เหตุว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากสง่าราศีของพระเจ้า” เราต้องได้รับการอภัยจากพระเจ้าหากเราต้องการรอดจากผลของความบาป สักวันเราจะได้พบกับพระเจ้าในการพิพากษา “เพราะว่าจำเป็นที่เราทุกคนจะต้องปรากฏตัวที่หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ เพื่อทุกคนจะได้รับสมกับการที่ได้ประพฤติในร่างกายนี้ แล้วแต่จะดีหรือชั่ว” (2 โครินธ์ 5:10) เรากำลังเผชิญกับสิ่งที่เรียกว่านิรันดร์และสิ่งนี้ทำให้เราจำเป็นต้องรู้ว่าเราได้รับการอภัยหรือไม่ หากได้รับการอภัยเราก็จะถูกรับไปสวรรค์ หากไม่เราจะถูกพิพากษาให้ตกนรกชั่วนิรันดร์กับมารและสมุนของมัน (มัทธิว 25:31-34, 41) ดังนั้น เราจะทำอะไรได้บ้างเพื่อช่วยจิตวิญญาณของเรา? เราไม่สามารถช่วยตัวเองให้รอดได้ แต่เราสามารถยอมรับแผนการณ์ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้เราได้ เราจะเข้าใจแผนนี้เมื่อเราพิจารณาถึงสิ่งที่พระองค์แสดงต่อชาวอิสราเอลซึ่งเป็นประชากรของพระองค์ก่อนที่พระคริสต์จะเสด็จมา พระเจ้าบอกให้พวกเขาถวายสัตว์เป็นเครื่องบูชา ลูกแกะที่ถูกฆ่านั้นชี้ไปที่พระเมษโปดก (หรือแกะ) ที่สมบูรณ์แบบของพระเจ้านั่นคือพระเยซูคริสต์ พระองค์จะทรงไถ่ทุกคนโดยการหลั่งพระโลหิตของพระองค์สำหรับบาปของพวกเขา การหลั่งโลหิตยังช่วยให้ผู้คนเข้าใจถึงความร้ายแรงของบาปอีกด้วย เอเฟซัส 1:7 กล่าวว่า “ได้รับการไถ่โดยพระโลหิตของพระองค์ คือได้รับการอภัยโทษบาปของเรา” “ท่านรู้ว่า มิได้ไถ่ไว้ด้วยสิ่งที่เสื่อมสลายได้… แต่ทรงไถ่ด้วยพระโลหิตอันมีราคามากของพระคริสต์ ดังเลือดลูกแกะที่ปราศจากตำหนิหรือจุดด่าง” (1 เปโตร 1:18-19) การให้อภัยของเรามาจากการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์และการหลั่งพระโลหิตของพระองค์เพื่อบาปของมนุษย์ (ฮีบรู 9:22) ขอให้เราสังเกตว่า เพราะบาปของเรา เราสมควรที่จะได้รับความตายนิรันดร์ แต่เนื่องจากความรักและความเมตตาของพระองค์ พระเยซูสิ้นพระชนม์แทนเราเพื่อที่เราจะได้รับการอภัยและครอบคลุมการล่วงละเมิดทั้งสิ้นของเรา เมื่อเราได้รับการให้อภัยจากพระคริสต์เราก็ได้รับสันติสุข เพื่อรักษาสันติสุขนี้ไว้เราจำเป็นต้องให้อภัยผู้อื่นเช่นกัน พระคริสต์บอกเราในมัทธิว 6:14-15 ว่า “เพราะว่าถ้าท่านยกการละเมิดของเพื่อนมนุษย์ พระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์จะทรงโปรดยกโทษให้ท่านด้วย แต่ถ้าท่านไม่ยกการละเมิดของเพื่อนมนุษย์ พระบิดาของท่านจะไม่ทรงโปรดยกการละเมิดของท่านเหมือนกัน” พระเยซูทรงเล่าเรื่องหนึ่งเพื่อสอนเราเกี่ยวกับอันตรายของการไม่ให้อภัย เป็นเรื่องของกษัตริย์องค์หนึ่งที่ต้องการตรวจสอบบัญชีของข้าราชบริพาร เขาพบว่ามีคนใช้คนหนึ่งเป็นหนี้เขาจำนวนมากซึ่งเท่ากับค่าจ้างหลายปี กษัตริย์บอกคนใช้ให้เขาขายตัวของเขา ครอบครัวของเขา และทรัพย์สินทั้งหมดของเขาเพื่อนำมาใช้หนี้ คนใช้ขอความเมตตาและกษัตริย์ก็ยกหนี้ให้เขา ต่อมาคนใช้คนนี้พบกับเพื่อนคนใช้อีกคนซึ่งเป็นหนี้เขาเล็กน้อยเพียงค่าจ้างหนึ่งวัน เขาบอกเพื่อนคนใช้ว่าเขาจะต้องจ่ายเต็มจำนวน เพื่อนผู้รับใช้ของเขาอ้อนวอนขอความเมตตา แต่คนใช้ไม่ยอมยกหนี้ให้ เมื่อกษัตริย์ทรงทราบดังนั้นจึงเรียกคนใช้มาและกล่าวว่า “เราให้อภัยเจ้าเมื่อเจ้าขอการอภัย เจ้าไม่ควรทำแบบเดียวกันนี้หรือ?” กษัตริย์จึงส่งเขาเข้าคุกจนชำระหนี้ได้ทั้งหมด พระเยซูตรัสว่าพระบิดาบนสวรรค์ของเราจะไม่ให้อภัยเราหากเราไม่ให้อภัยผู้อื่น (มัทธิว 18:23-35) การเกลียดชังใครสักคน การขุ่นเคืองใจหรือเก็บความแค้นไว้เป็นเหตุให้เกิดผลด้านลบมากมาย ผู้ที่ยอมให้ทัศนคติเหล่านี้อยู่ในชีวิตก็จะกลายเป็นความทนทุกข์ ความสัมพันธ์ของเขาก็เลวร้ายลงเช่นกัน
ก่อนกาลสมัยจะเริ่มต้น ในเวลานั้นมีพระเจ้า พระเยซูพระบุตรของพระองค์ และพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์ได้สร้างโลกและสิ่งทั้งปวงที่อยู่ในนั้น ด้วยความรักของพระเจ้า พระองค์ได้ทรงสร้างมนุษย์ตามพระฉายาของพระองค์และให้เขาอยู่ในสวนที่สวยงาม มนุษย์ไม่เชื่อฟังคำสั่งสอนของพระเจ้า การไม่เชื่อฟังนี้เป็นบาปและแยกมนุษย์ออกจากพระเจ้า พระองค์บอกพวกเขาว่าพวกเขาควรนำสัตว์หนุ่มที่สมบูรณ์มาเป็นเครื่องบูชาเพื่อไถ่บาป การบูชาเหล่านี้ไม่ได้ชดใช้ความบาป เป็นเพียงชี้ให้เห็นถึงการเสียสละสูงสุดที่พระเจ้าจะทรงจัดเตรียมให้เท่านั้น วันหนึ่งพระเจ้าจะส่งพระเยซูพระบุตรของพระองค์มายังโลกนี้เพื่อเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปของมนุษย์ทุกคน สี่พันปีต่อมา ในเมืองนาซาเร็ธ มีหญิงสาวคนหนึ่งชื่อมารีย์ เธอหมั้นหมายจะแต่งงานกับโยเซฟ วันหนึ่งทูตสวรรค์มาปรากฏแก่มารีย์และบอกกับเธอว่าเธอจะมีทารกอันแสนพิเศษคนหนึ่ง เธอควรตั้งชื่อเขาว่าเยซู บุตรชายคนนี้จะไม่มีบิดาฝ่ายโลก เขาจะเป็นพระบุตรของพระเจ้า หลังจากการมาเยี่ยมของทูตสวรรค์ โยเซฟและมารีย์เดินทางไกลไปยังเบธเลเฮมเพื่อจ่ายภาษี เมื่อไปถึงเมืองเบธเลเฮมก็มีผู้คนพลุกพล่านมากมาย พวกเขาต้องค้างคืนในโรงวัวเพราะไม่มีที่ว่างในโรงแรม ที่นั่นพระเยซูได้ประสูติ มารีย์ได้ห่อทารกพระเยซูด้วยผ้าและวางพระองค์ในรางหญ้า คืนเดียวกันนั้น บนเนินเขานอกเมือง คนเลี้ยงแกะกำลังเฝ้าดูแกะของตน ทูตสวรรค์องค์หนึ่งปรากฏขึ้นและพระสิริของพระเจ้าส่องรอบคนเลี้ยงแกะ ทูตสวรรค์กล่าวว่า “อย่ากลัวเลย เพราะดูเถิด เรานำข่าวดีมายังท่านทั้งหลาย คือความปรีดียิ่งซึ่งจะมาถึงคนทั้งปวง เพราะว่าในวันนี้พระผู้ช่วยให้รอดของท่านทั้งหลาย คือพระคริสต์เจ้า มาบังเกิดที่เมืองดาวิด นี่จะเป็นหมายสำคัญแก่ท่านทั้งหลาย คือท่านจะได้พบพระกุมารนั้นพันผ้าอ้อมนอนอยู่ในรางหญ้า” จากนั้นทูตสวรรค์จำนวนมากก็ปรากฏตัวและสรรเสริญพระเจ้าว่า “รัศมีภาพจงมีแด่พระเจ้าในที่สูงสุด และบนแผ่นดินโลกสันติสุขจงมีท่ามกลางมนุษย์ทั้งปวงซึ่งทรงโปรดปรานนั้น” เมื่อทูตสวรรค์ได้จากไปแล้ว คนเลี้ยงแกะได้ทิ้งแกะของตนและมุ่งไปยังเบธเลเฮมอย่างรวดเร็ว ที่นั่นพวกเขาพบทารกตามที่ทูตสวรรค์บอกไว้ หลังจากที่พระเยซูประสูติ พวกนักปราชญ์มาจากอีกประเทศหนึ่งไปยังกรุงเยรูซาเล็ม พวกเขาถามว่า “ทารกที่เกิดมาเป็นกษัตริย์ของชาวยิวอยู่ที่ไหน? เราได้เห็นดาวของพระองค์ทางทิศตะวันออกและต้องการบูชาพระองค์” เมื่อกษัตริย์เฮโรดได้ยินเช่นนั้นก็ไม่พอใจ พระองค์ทรงเรียกพวกปุโรหิตและธรรมาจารย์มาพร้อมกัน พวกเขาบอกเขาว่าผู้เผยพระวจนะกล่าวว่าผู้ปกครองจะเกิดในเบธเลเฮม กษัตริย์เฮโรดส่งนักปราชญ์ไปที่เบธเลเฮมเพื่อค้นหากษัตริย์องค์นี้ เมื่อพวกนักปราชญ์ออกจากกรุงเยรูซาเล็ม ดาวดวงนั้นก็พาพวกเขาไปยังบ้านที่พวกเขาพบพระกุมารเยซู พวกเขากราบลงนมัสการ ถวายทองคำ กำยาน และมดยอบแด่พระองค์ พระเจ้าเตือนนักปราชญ์ในความฝันว่าพวกเขาไม่ควรกลับไปหากษัตริย์เฮโรดผู้ชั่วร้าย ดังนั้นพวกเขาจึงกลับบ้านโดยใช้เส้นทางอื่น พระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า พระองค์ทรงดำเนินชีวิตโดยปราศจากบาปและสมบูรณ์ในทุกทาง เมื่ออายุได้สามสิบปี พระเยซูเริ่มสอนผู้คนเกี่ยวกับพระเจ้าพระบิดาของพระองค์ พระองค์ทรงทำการอัศจรรย์มากมาย เช่น ให้คนตาบอดมองเห็น รักษาโรคต่างๆ ของคนจำนวนมาก หรือแม้แต่ทำให้คนตายเป็นขึ้นมา เหนือสิ่งอื่นใด พระองค์ทรงสอนวิธีที่จะมีชีวิตนิรันดร์ในสวรรค์ แล้วพระองค์ก็สละพระชนม์ชีพเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปของคนทั้งโลก พระคัมภีร์กล่าวไว้ในยอห์น 3:16 ว่า “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ที่บังเกิดมา เพื่อผู้ใดที่เชื่อในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวินิรันดร์” พระเยซูเสด็จมาบนโลกนี้เพื่อสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อเป็นเครื่องบูชาอันสูงสุด โดยการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ ราคาสำหรับความบาปทั้งหมดได้รับการชดใช้ ไม่จำเป็นต้องถวายเครื่องบูชาไถ่บาปอีกต่อไป นี่คือการปฏิบัติตามพระสัญญาของพระเจ้าที่จะส่งพระผู้ช่วยให้รอด แม้ว่าพระเยซูถูกคนชั่วร้ายฆ่า ความตายก็ไม่มีอำนาจเหนือพระองค์ สามวันต่อมา พระองค์ทรงฟื้นคืนพระชนม์อย่างมีชัยชนะ ภายหลังการฟื้นคืนพระชนม์ ในช่วงเวลานั้นมีคนมากมายได้เห็นพระเยซู จนกระทั่งวันหนึ่งหลังจากที่พระองค์ได้อวยพรสาวกของพระองค์แล้ว พระองค์ก็เสด็จขึ้นสู่สวรรค์
ในการดำเนินชีวิตของมนุษย์หลายครั้งที่ต้องเข้าสู่จุดแห่งการตัดสินใจ อันที่จริงทุกๆ วันก็มีการตัดสินใจอยู่แล้ว การเลือกบางอย่างใช้ความคิดเพียงเล็กน้อย บางอย่างก็ต้องใช้ความคิดและการพิจารณาอย่างมาก ยิ่งในเรื่องที่สำคัญมากก็ยิ่งต้องใส่ใจมาก คำถามคือ คุณคิดว่าอะไรสำคัญ? เมื่อพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ พระองค์ประทานสิทธิพิเศษในการเลือกแก่เขา เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบหรือผลของการเลือกของเรา เพราะหลายอย่างจะมีผลตลอดกาล ให้เรามาดูการตัดสินใจเลือกของบุคคลในพระคัมภีร์สองสามท่าน บางคนก็เลือกดีและบางคนก็เลือกไม่ค่อยดีนัก โมเสส ซึ่งเป็นคนของพระเจ้า เลือก “การร่วมทุกข์กับชนชาติของพระเจ้า แทนการเริงสำราญในความบาปสักเวลาหนึ่ง” (ฮีบรู 11:25) เขามองดูรางวัลที่ได้หลังจากชีวิตนี้ การเลือกเข้ากลุ่มผู้เชื่อคริสเตียนเป็นทางเลือกที่ฉลาดอย่างแท้จริง ก่อนน้ำจะท่วมโลก “บุตรชายทั้งหลายของพระเจ้าเห็นว่าบุตรสาวทั้งหลายของมนุษย์สวยงาม และพวกเขารับเธอทั้งหลายไว้เป็นภรรยาตามชอบใจของพวกเขา” (ปฐมกาล 6:2) พวกเขาได้เลือกตามเนื้อหนังซึ่งจบลงด้วยความพินาศ “ดังนั้นโลทจึงเลือกบรรดาที่ราบลุ่มของแม่น้ำจอร์แดน… และตั้งเต็นท์ใกล้เมืองโสโดม” (ปฐมกาล 13:11-12) ทุ่งหญ้าที่นั่นอุดมสมบูรณ์และเขาได้รับทรัพย์สินเป็นพร แต่เขาสูญเสียทุกอย่างเมื่อเมืองโสโดมถูกทำลาย โยเซฟในวัยหนุ่มเลือกที่จะบริสุทธ์และเที่ยงธรรม และเขาได้รับเกียรติสูงสุดในอาณาจักรอียิปต์ (ปฐมกาล 41:41) โยชูวาผู้รับใช้ของพระเจ้า ท้าทายลูกหลานของอิสราเอลว่า “จงเลือกเสียในวันนี้ว่าท่านจะปรนนิบัติผู้ใด” (โยชูวา 24:15) เขากล่าวว่า " ส่วนข้าพเจ้าและครอบครัวของข้าพเจ้า เราจะปรนนิบัติพระเยโฮวาห์" ประชาชนตอบว่า “ข้าพเจ้าทั้งหลายจะปรนนิบัติพระเยโฮวาห์ด้วย” ตราบใดที่พวกเขายำเกรงพระเจ้าและรับใช้พระองค์อย่างซื่อสัตย์ พวกเขาก็เจริญรุ่งเรือง ในช่วงเวลาของผู้เผยพระวจนะเอลียาห์ ผู้คนลืมพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำเพื่อพวกเขา และหลายคนหันไปบูชารูปเคารพ (พระบาอัล) ซึ่งทำให้พระเจ้าไม่พอพระทัยอย่างมาก พระองค์ทรงใช้เอลียาห์ในช่วงเวลาสำคัญนี้อย่างน่าทึ่งที่สุดเพื่อแสดงฤทธิ์อำนาจอันไร้ขอบเขตของพระองค์ บนภูเขาคาร์เมล เอลียาห์เรียกไฟตกลงมาจากสวรรค์เผาผลาญเครื่องบูชาที่เขาเตรียมไว้ เป็นการพิสูจน์ว่าพระเจ้าเป็นพระเจ้าอย่างแท้จริง เขาถามประชาชนว่า “พวกท่านจะยุติความคิดเห็นทั้งสองนานเท่าใด ถ้าพระเจ้าเป็นพระเจ้าตามเขา แต่ถ้าบาอัล ก็จงตามเขาไป” หลังจากที่พวกเขาเห็นไฟลงมา “พวกเขาซบหน้าลงและพวกเขากล่าวว่า พระเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า พระเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า” (1 พงศ์กษัตริย์ 18) ดาเนียลชายหนุ่มที่เป็นเชลยในดินแดนบาบิโลนตัดสินใจเลือกที่จะไม่ทำให้ตนเองเป็นมลทินด้วยการกินอาหารและเหล้าองุ่นของกษัตริย์ (ดาเนียล 1:8) ผลก็คือเขาและสหายทั้งสามของเขาที่ตัดสินใจเลือกอย่างเดียวกันได้รับความโปรดปรานจากพระเจ้าและกษัตริย์ หากพวกเขาไม่เลือกทำการนี้ ตัวอย่างของดาเนียลในถ้ำสิงโตและชายสามคนในเตาไฟก็จะไม่ถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ พระเยซูทรงให้คำอุปมาเรื่องบิดาที่มีบุตรชายสองคน คนหนึ่งเลือกที่จะเอามรดกของเขาและเดินทางไปยังดินแดนที่อยู่ห่างไกล (ทำบาป) มันไม่ใช่ทางเลือกที่ดี หลังจากที่เขาใช้เงินทั้งหมด เขาก็ตระหนักว่าเขาทำผิดพลาดครั้งใหญ่เพียงใด เขาเลือกกลับบ้านอย่างนอบน้อมถ่อมตน ช่างเป็นการกลับคืนสู่ครอบครัวที่มีความสุขจริงๆ (ลูกา 15:11-32)!
ความรัก…ช่างเป็นคำที่สวยงามในทุกๆ ภาษา เมื่อนึกถึงความหมายเรามักคิดถึง ความรักใคร่ ความชอบ ความห่วงใย ความอบอุ่น ความเมตตา ความเข้าใจ ความปลอดภัย และแม่ แต่ลองคิดดูดีๆ ว่าคำที่สวยงามนี้หมายถึงอะไรกันแน่? คุณปรารถนาที่จะได้รับความรักไหม? คุณมีความรักหรือเปล่า? พระเจ้าคือความรักและความรักของพระองค์ที่สถิตอยู่ในหัวใจของคุณสามารถช่วยให้คุณรักและได้รับความรัก ที่มาของความรักทั้งหมดคือพระเจ้า 1 ยอห์น 4:16 กล่าวว่า “ฉะนั้นเราจึงรู้ และวางใจในความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อเรา พระเจ้าทรงเป็นความรัก และผู้ที่อยู่ในความรักก็อยู่ในพระเจ้า และพระเจ้าก็ทรงอยู่ในคนนั้น” ไม่มีใครค้นพบความรักที่แท้จริงได้ยกเว้นความรักที่มาจากพระเจ้า สิ่งที่ตรงกันข้ามกับความรัก ได้แก่ ความเกลียดชัง ความไม่ไว้วางใจ ความเห็นแก่ตัว และสงคราม เพียงแค่เรามองดูสภาพสังคมโลกและครอบครัว เราก็จะเห็นว่าความรักมีความจำเป็นอย่างยิ่ง แล้วคุณล่ะ คุณรู้สึกว่าคุณเป็นที่รักไหม? คุณรู้สึกปวดร้าวในใจ ความเหงาที่ไม่จางหายเพราะไม่ได้รับความรักหรือความอบอุ่นไหม? บางครั้งคุณรู้สึกว่าไม่มีใครสนใจไหม? คุณเติบโตมาในครอบครัวที่พ่อแม่ไม่รักกันหรือไม่ พ่อแม่รักลูกหรือเปล่า? ความรู้สึกเหล่านี้เป็นเรื่องปกติในโลกปัจจุบันซึ่งเต็มไปด้วยทัศนคติที่ว่า “ฉันก่อน” หัวใจที่ปวดร้าวเป็นผลจากการที่บุคคลหมกมุ่นอยู่กับผลประโยชน์ที่เห็นแก่ตัวของตนเอง ความรักไม่ใช่แรงดึงดูดที่เย้ายวนที่พยายามสนองตัณหาในตัวเองโดยมักจะให้อีกฝ่ายเสียประโยชน์ แรงดึงดูดนี้ บางคนอาจเรียกว่าความรักซึ่งเป็นความเห็นแก่ตัวเพราะมันเป็นการสร้างความพอใจให้ตนเอง ความรักไม่ควรสร้างเกียรติหรือความสุขให้ตนเอง ความยากลำบากในชีวิตไม่ได้บ่งชี้ว่าพระเจ้าไม่รักเรา บางครั้งพระเจ้าก็ยอมให้เราพบกับความยุ่งยากลำบากเพื่อประโยชน์ของเรา พ่อแม่ที่มีความรักที่แท้จริงจะไม่ให้ทุกสิ่งที่ลูกต้องการเสมอไป แต่กันไว้เพื่อประโยชน์ของเขาเอง ความรักคือการเสียสละตนเอง มองหาความดีของผู้อื่น ความรักนั้นอบอุ่น เห็นอกเห็นใจและมีเมตตา หากเรารักที่แท้จริง เราจะดูแลความผาสุกของผู้ที่อยู่ใกล้ตัวเราทั้งในปัจจุบันและอนาคต ผู้ที่เป็นสามีและพ่อจะแสดงความรักต่อภรรยาและลูกๆ เขายินดีที่จะให้และเสียสละตนเองเพื่อสร้างบรรยากาศแห่งความรักและความเป็นอยู่ที่ดี ภรรยาและแม่จะเคารพสามีและปลูกฝังให้ลูก ๆ เคารพรักพ่อแม่และรักซึ่งกันและกัน เธอจะเตรียมความปลอดภัยและความสงบสุขสำหรับทุกคนในครอบครัว พระคริสต์ทรงเป็นแบบอย่างของความรักโดยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนอย่างไม่สมควร หากคุณรู้สึกว่าต้องการความรัก จิตใจรู้สึกอ้างว้าง คุณจะพบรักแท้ได้ คุณสามารถหาสิ่งนี้ได้โดยมอบถวายชีวิตตัวเองให้กับพระเจ้า พระเจ้ารักคุณด้วยความเมตตาและความห่วงใยที่ไม่มีขอบเขต พระองค์ทรงห่วงใย ต้องการแบ่งปันและช่วยเหลือคุณในช่วงเวลาที่ปวดร้าว หากคุณรู้สึกโดดเดี่ยวและคิดว่าไม่มีใครสนใจ คุณสามารถวางใจได้ว่าพระเจ้ารู้สึกถึงความปวดใจและเศร้าโศกของคุณในเวลาที่คุณเหงาและท้อแท้ พระองค์อยู่ที่นั่นเพื่อปลอบประโลม มอบความเข้มแข็ง และการนำทางให้แก่คุณหากคุณหันมาหาพระองค์ หากคุณไม่รู้ว่าจะเข้าถึงพระเจ้าได้อย่างไร เพียงแค่เทใจของคุณให้กับพระองค์แล้วพระองค์จะทรงสดับฟัง ถ้าคุณรู้สึกว่าคุณไม่สามารถไว้ใจใครได้เลย ก็ร้องทูลต่อพระองค์ แล้วขอให้พระองค์ทรงชี้ทาง หากคุณรู้สึกว่าคุณเป็นคนบาปโดยไม่คาดหวังว่าจะได้รับความรักและการให้อภัย ให้คุณมาหาพระเจ้าด้วยสุดใจของคุณ กลับใจและละทิ้งความบาปในอดีตของคุณ พระองค์จะทรงเป็นพระบิดาที่รักของคุณ หากคุณมาหาพระองค์ด้วยสุดใจ และเต็มใจเชื่อฟังทุกสิ่งที่พระองค์ขอจากคุณ เมื่อพระเจ้าให้อภัยและยอมรับคุณ คุณจะสัมผัสรู้สึกถึงความรักและได้รับสัมพันธ์ภาพของพระองค์ซึ่งไม่มีอะไรมาพรากไปได้ ความสัมพันธ์นี้จะพังทลายก็ต่อเมื่อเราหันหลังให้พระองค์
“ความสงบสุขของชาติ ของครอบครัว ที่สำคัญคือจิตใจและความคิดของเราอยู่ที่ไหน?” เสียงร้องโหยหวนนี้ได้ยินตลอดมาทุกยุคทุกสมัย หัวใจของคุณร่ำร้องอยู่หรือไม่? ผู้คนต่างเหนื่อยล้าและวิตกกังวล แน่นอนว่าพวกเขาต้องการคำชี้แนะแนวทาง ความมั่นคงปลอดภัยอย่างไม่ต้องสงสัย สิ่งที่เราต้องการและจำเป็นอย่างยิ่งยวดคือความสงบในจิตใจ ความสงบในจิตใจ - ช่างเป็นสมบัติล้ำค่า! เราสามารถค้นหาสมบัติชิ้นนี้ในโลกที่มีความขัดแย้ง ความสิ้นหวัง ความวุ่นวายและปัญหามากมายได้หรือไม่? การค้นหาครั้งยิ่งใหญ่ได้เริ่มขึ้นแล้ว! หลายคนแสวงหาความสงบสุขจากชื่อเสียงและโชคลาภ ความพึงพอใจและอำนาจ การศึกษาและความรู้ ในความสัมพันธ์ของมนุษย์และการแต่งงาน พวกเขาปรารถนาที่จะเติมเต็มความรู้และความมั่งคั่งในกระเป๋าของพวกเขา แต่จิตวิญญาณของพวกเขายังคงว่างเปล่า บางคนหาทางหนีความจริงของชีวิตด้วยยาเสพติดหรือแอลกอฮอล์ แต่ความสงบสุขที่พวกเขาแสวงหากลับหลีกหนีพวกเขา พวกเขายังคงว่างเปล่าและอ้างว้าง ยังคงอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยปัญหาด้วยจิตใจที่เป็นปัญหา พระเจ้าได้สร้างมนุษย์และให้พวกอยู่ในสวนที่สวยงามเพื่อเพลิดเพลินกับความสงบ ความยินดี และความสุขที่สมบูรณ์แบบ แต่เมื่ออาดัมและเอวาไม่เชื่อฟัง พวกเขารู้สึกผิดทันที เมื่อก่อนพวกเขารอคอยการปรากฏตัวของพระเจ้า บัดนี้พวกเขาต้องซ่อนตัวด้วยความละอาย ความรู้สึกผิดและความกลัวเข้ามาแทนที่ความสงบสุขและความสุขที่พวกเขารู้จัก บาปของมนุษย์เป็นจุดเริ่มต้นของโลกที่มีปัญหาและจิตใจที่มีปัญหา แม้ว่าจิตวิญญาณของเราจะโหยหาพระเจ้า แต่ธรรมชาติที่เป็นบาปของเราจะกบฏต่อวิถีทางของพระองค์ การต่อสู้ภายในนี้ทำให้เกิดความตึงเครียดและความทุกข์ เมื่อเราเป็นเหมือนอาดัมและเอวาที่มีความปรารถนาและความทะเยอทะยานเอาตนเองเป็นศูนย์กลาง เราจะกระวนกระวายและวิตกกังวล ยิ่งเราสนใจตัวเองมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งมีปัญหามากขึ้นเท่านั้น ความไม่แน่นอนของชีวิตและโลกที่เสื่อมโทรมและการเปลี่ยนแปลงสั่นคลอนความมั่นคงของเราและรบกวนความสงบสุขของเรา แม้ว่าคุณอาจไม่ตระหนักหรือรับรู้มัน ความบาปอาจเป็นสาเหตุของความไม่สบายใจของคุณ หลายคนค้นหาวัตถุและสิ่งภายนอกเพื่อความสงบ พวกเขาตำหนิโลกที่มีปัญหาที่สร้างปัญหาให้กับจิตใจของพวกเขา แต่กลับมองไม่เห็นภายในใจของตน จะไม่มีความสงบสุขเกิดขึ้นจนกว่าทุกด้านของชีวิตจะประสานกับพระองค์ผู้ทรงสร้างและเข้าใจเรา สิ่งนี้เป็นไปได้โดยการยอมจำนนต่อพระคริสต์อย่างสมบูรณ์เท่านั้น พระองค์ไม่เพียงแต่เป็นเจ้าโลกเท่านั้น แต่ทรงรู้จักชีวิตของเราตั้งแต่ต้นจนจบ ทรงนึกถึงเราเมื่อเสด็จมาในโลก “เพื่อจะส่องสว่างแก่คนทั้งหลายผู้อยู่ในที่มืด และในเงาแห่งความตาย เพื่อจะนำเท้าของเราไปในทางสันติสุข” (ลูกา 1:79) พระเยซูประทานแสงสว่างแทนความมืด สันติแทนความขัดแย้ง ความสุขแทนความเศร้า ความหวังแทนความสิ้นหวัง และชีวิตแทนความตาย พระองค์ตรัสในพระธรรมยอห์น 14:27 ว่า “เรามอบสันติสุขไว้ให้แก่ท่านแล้ว สันติสุขของเราที่ให้แก่ท่านนั้น เราให้ท่านไม่เหมือนโลกให้ อย่าให้ใจของท่านวิตกและอย่ากลัวเลย” เมื่อคุณรู้สึกว่าบาปทำให้คุณหนักอึ้ง การเยียวยาคือ “จงหันกลับและตั้งใจใหม่ เพื่อจะทรงลบล้างความผิดบาปของท่านเสีย” (กิจการ 3:19) พระเยซูเชิญคุณเข้าสู่ประสบการณ์ที่มีความหมายและเปลี่ยนแปลงชีวิต “บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนักจงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลายหายเหนื่อยเป็นสุข” (มัทธิว 11:28) 1 ยอห์น 1:9 สัญญาว่า “ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา และจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น” คุณจะยอมรับคำเชิญของพระองค์หรือไม่? เมื่อคุณมาหาพระเยซู คุณจะพบการให้อภัยและอิสรภาพ หัวใจของคุณจะเต็มไปด้วยความรักและความเมตตา แทนที่จะเป็นความขุ่นเคืองและการไม่ให้อภัย เมื่อพระเยซูครอบครองหัวใจของคุณ คุณจะรักศัตรูของคุณ สิ่งนี้เป็นไปได้โดยฤทธิ์อำนาจแห่งพระโลหิตแห่งการไถ่ของพระคริสต์
คุณรู้ไหมว่ามีใครบางคนที่รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับคุณ? ผู้นั้นคือพระเยซูพระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงรู้ทุกสิ่งที่คุณเคยทำ พระองค์ทรงสร้างโลกและทุกสิ่งบนโลกนี้ พระองค์รู้อดีต ปัจจุบัน และอนาคต พระองค์ทรงรักคุณและเสด็จมาในโลกนี้เพื่อช่วยคุณให้พ้นจากบาป พระองค์มีแผนการณ์สำหรับชีวิตของคุณเพื่อนำความสุขมาให้คุณ วันหนึ่งพระเยซูทรงเดินทางไปกับเพื่อนๆ ของพระองค์ พระองค์มาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งในแคว้นสะมาเรีย ทรงนั่งลงข้างบ่อน้ำเพื่อพักผ่อนขณะที่เพื่อนๆ ไปซื้ออาหาร ขณะที่พระเยซูนั่งอยู่ที่นั่น มีหญิงคนหนึ่งมาตักน้ำจากบ่อ พระองค์ตรัสถามนางว่า “ขอน้ำดื่มหน่อยได้ไหม?” หญิงคนนั้นประหลาดใจ “ท่านขอน้ำดิฉันดื่มหรือ?” เธอถาม “ท่านไม่รู้หรือว่าดิฉันเป็นชาวสะมาเรียและชาวยิวไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรา?” พระเยซูตรัสตอบอย่างอ่อนโยนว่า “ถ้าเจ้ารู้จักพระเจ้าจริงๆ และรู้ว่ากำลังพูดกับใคร เจ้าคงขอให้เรามอบน้ำดำรงชีวิตแก่เจ้า เรายินดีที่จะมอบให้” ผู้หญิงคนนั้นมองพระองค์ด้วยความประหลาดใจ “ท่านค่ะ” เธอกล่าว “บ่อน้ำลึกมากและท่านไม่มีอะไรที่จะตัก ท่านจะตักน้ำดำรงชีวิตนี้ออกมาอย่างไร? พระเยซูตรัสตอบอีกว่า “บรรดาผู้ที่ดื่มจากบ่อน้ำนี้จะกระหายอีก แต่ถ้าเจ้าดื่มน้ำที่เรามอบให้เจ้าจะไม่กระหายอีกเลย” “ท่านค่ะ” หญิงคนนั้นพูด “ขอน้ำนี้ให้ดิฉันด้วยเพื่อจะได้ไม่ต้องกระหายอีก และไม่ต้องกลับมาที่นี่เพื่อเอาน้ำ” “จงไปบอกสามีของเจ้า แล้วกลับมาที่นี่” พระเยซูเจ้าตรัส “ดิฉันไม่มีสามี” เธอตอบ “นั่นก็จริง” พระเยซูเจ้าตรัส “เจ้ามีสามีแล้วห้าคน แต่คนที่เจ้ามีตอนนี้ไม่ใช่สามีของเจ้า” ชายคนนี้รู้เกี่ยวกับฉันได้อย่างไร เธอสงสัย “ท่านค่ะ ดิฉันเห็นว่าท่านเป็นผู้เผยพระวจนะ ดิฉันมีคำถามอยากถามท่าน ประชากรของเราได้กราบไหว้พระเจ้า ณ ที่แห่งนี้ ท่านบอกว่ากรุงเยรูซาเล็มเป็นสถานที่สักการะ” พระเยซูตรัสกับเธอว่า “การนมัสการที่ใดไม่สำคัญนัก วันนี้ผู้เชื่อที่แท้จริงสามารถนมัสการพระบิดาด้วยจิตวิญญาณและความจริง “ดิฉันรู้ว่าพระเมสสิยาห์ที่เรียกว่าพระคริสต์กำลังเสด็จมา” เธอกล่าว “และเมื่อพระองค์เสด็จมา พระองค์จะทรงอธิบายทุกอย่าง” จากนั้นพระเยซูก็บอกกับเธอว่า “เราคือพระองค์” เธอทิ้งหม้อน้ำไว้และกลับเข้าไปในเมือง “มาเถิด” เธอร้อง “มาดูชายผู้หนึ่งซึ่งบอกทุกสิ่งที่ฉันเคยทำมาให้ฉันฟัง พระองค์ไม่ใช่พระคริสต์หรือ?” แล้วชาวเมืองก็ออกไปเฝ้าพระเยซู หลายคนเชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นพระคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด เพราะพระองค์ทรงทราบทุกอย่างเกี่ยวกับพวกเขา คุณสามารถอ่านเรื่องราวนี้ได้ในพระธรรมยอห์น 4:3-42 พระเยซูรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเราทั้งดีและไม่ดี เราต้องการซ่อนสิ่งเลวร้ายที่เราได้ทำในชีวิต แต่เราไม่สามารถซ่อนสิ่งเหล่านั้นจากพระเยซู พระองค์เสด็จมาเพื่อช่วยเราให้รอดพ้นจากการลงโทษจากความผิดที่เรากระทำ พระองค์สามารถขจัดความรู้สึกหนักอึ้งที่อยู่ในใจและประทานสันติสุขให้แก่เรา พระองค์สิ้นพระชนม์เพื่อขจัดบาปของเราและทำให้เราสามารถมีบ้านในสวรรค์เมื่อเราตายได้ พระเยซูคือคำตอบสำหรับทุกความต้องการของคุณและทุกคำถามของคุณ พระองค์ต้องการเป็นเพื่อนของคุณ พระองค์ต้องการเติมเต็มความว่างเปล่าในหัวใจของคุณ พระองค์สามารถแทนที่ความกลัวและความไม่สงบของคุณด้วยสันติและความสงบ พระเยซูตรัสว่า “มาหาเรา…และเราจะให้ท่านได้พักผ่อน” (มัทธิว 11:28) เพียงอธิษฐานถึงพระองค์และขอให้พระองค์เข้ามาในชีวิตของคุณ เมื่อคุณยอมรับพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่องค์นี้ด้วยศรัทธา พระองค์จะประทับอยู่ในหัวใจของคุณ การปรากฏตัวของพระองค์จะทำให้คุณมีความสุข พระองค์จะประทานความแข็งแกร่งและจุดมุ่งหมายในชีวิตแก่คุณ พระองค์จะเป็นคำตอบสำหรับคุณ
พระคัมภีร์ได้ให้พิมพ์เขียวในการสร้างบ้าน (ครอบครัว) แก่เรา โดยมีการออกแบบอย่างสวยงาม มีโครงสร้างที่มั่นคง และบรรยากาศร่มรื่น บ้านอาจเป็นสถานที่แห่งความกลมเกลียวและสำราญใจ หรืออาจเป็นสถานที่แห่งความตึงเครียดและการทะเลาะวิวาท บ้านของคุณมีความสุข แข็งแรง และรอดพ้นจากพายุแห่งชีวิตหรือไม่? บ้าน (ครอบครัว) เป็นหน่วยทางสังคมที่สำคัญ เป็นสิ่งที่พระเจ้ากำหนดบทบาทในการพัฒนาฝ่ายจิตวิญญาณ ความผาสุขทางอารมณ์ และเติมเต็มในฝ่ายร่างกาย แผนการณ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าคือให้สมาชิกในบ้านนำความสุขมาให้กันและกัน และอยู่ด้วยกันด้วยความปรองดอง ทำไมบ้านหลายหลังจึงไม่มีความสุข? ทำไมพวกเขาถูกทำลายด้วยความขัดแย้ง การพลัดพราก และการหย่าร้าง? นั่นเป็นเพราะรูปแบบของพระเจ้าถูกละเลย ภายในพระคำของพระองค์พบวัสดุก่อสร้างที่จำเป็นสำหรับบ้านที่มีความสุข บ้านที่สร้างตามพระวจนะของพระองค์เป็นสถานที่แห่งความรัก ความไว้เนื้อเชื่อใจ ผลประโยชน์ร่วมกัน และการรับใช้ซึ่งกันและกันอย่างไม่เห็นแก่ตัว บ้านดังกล่าวจะนำความสุขมาสู่ชีวิตเราและรักษาชุมชนและประเทศชาติของเรา คุณกำลังทำตามแผนของพระเจ้าผู้ทรงเป็นปรมาจารย์แห่งสถาปนิกหรือไม่? “ถ้าพระเยโฮวาห์มิได้ทรงสร้างบ้าน บรรดาผู้ที่สร้างก็เหนื่อยเปล่า” (สดุดี 127:1) การวางรากฐานในวัยหนุ่มสาวเป็นการวางเพื่อบ้านในอนาคต ชีวิตที่บริสุทธิ์ต่อพระพักตร์พระเจ้าเป็นส่วนประกอบสำคัญในการเตรียมตัวสำหรับการแต่งงาน ความบาปก่อนแต่งงานทำลายความมั่นคงทางศีลธรรมและทำให้บ้านในอนาคตตกอยู่ในอันตราย ความเอาแต่ใจในตนเองและความพอใจในตนเองในวัยหนุ่มสาวของเราได้กำหนดรูปแบบการดำรงชีวิตที่ทำลายล้างการแต่งงาน อัตราการหย่าร้างที่สูงก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ข้อเท็จจริงเหล่านี้ บาปเหล่านี้ต้องกลับใจก่อนจึงจะสามารถมีชีวิตใหม่ในพระคริสต์ อดีตควรถูกฝังและพระเจ้าจะเข้ามาพร้อมกับพระพรของพระองค์ ครอบครัวเริ่มต้นเมื่อชายและหญิงแต่งงานกัน พระคัมภีร์กล่าวว่าเราต้องแต่งงาน “ในองค์พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น” (1 โครินธ์ 7:39) หมายความว่าทั้งชายและหญิงได้มอบชีวิตและความต้องการต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าต้องเป็นที่หนึ่ง เมื่อชาย หญิง หรือทั้งสองเห็นแก่ตัว พื้นฐานของความสุขร่วมกันจะอยู่ที่ไหน? การแต่งงาน “ในองค์พระผู้เป็นเจ้า” ไม่เพียงหมายความว่าชายและหญิงเป็นคริสเตียนเท่านั้น แต่พระเจ้าจะทรงนำพวกเขาเข้ามาหากัน ตัณหา แรงดึงดูดทางกายภาพและความลุ่มหลงเป็นจุดเริ่มต้นที่ไม่ดีสำหรับการแต่งงาน เมื่อสิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐานของการดึงดูดใจซึ่งกันและกัน อาจมีความคับข้องใจและความขัดแย้งหลังการแต่งงาน เมื่อเราวางใจให้พระเจ้านำทางในการเลือกของเรา พระปัญญาอันสูงส่งของพระองค์ทรงมองเห็นคู่ครองที่เราต้องการ ไม่เพียงแต่สำหรับวันนี้เท่านั้นแต่สำหรับปีต่อๆ ไป พระเจ้าอาจเลือกรสนิยมและอารมณ์ที่แตกต่างกัน ซึ่งจะเสริมกันและกัน ส่งผลให้มีหน่วยที่สมดุลมากขึ้น “และเขาทั้งสองจะเป็นเนื้อเดียวกัน” (มาระโก 10:8) การแต่งงานมีขึ้นเพื่อเป็นความผูกพันตลอดชีวิต ไม่ใช่แค่สัญญาทางกฎหมาย พระเยซูตรัสสั่งอย่างชัดเจนว่า “เหตุฉะนั้นซึ่งพระเจ้าได้ทรงผูกพันกันแล้ว อย่าให้มนุษย์ทำให้พรากจากกันเลย” (มัทธิว 19:6) แม้ว่าครอบครัวจะเป็นชุมชนเล็กๆ แต่ก็มีหน้าที่ความรับผิดชอบที่ได้รับมอบหมายเช่นเดียวกับทุกหน่วยสังคม พระเจ้าได้ให้ระเบียบโครงร่างนี้ไว้ในพระคัมภีร์ เป็นกรอบอำนาจซึ่งหากปฏิบัติตามก็จะนำมาซึ่งความสงบเรียบร้อยและความสุขมาสู่ครอบครัว หน้าที่ความรับผิดชอบสูงสุดเป็นของสามี ต่อมาก็คือภรรยา และลูก ตามลำดับ (อ่าน 1 โครินธ์ 11:3; เอเฟซัส 5:22-24) เมื่อพระผู้เป็นเจ้าทรงสถาปนาและรับรองหลักการ หลักการนั้นไม่อาจละเมิดได้ การไม่เชื่อฟังคำสั่งนั้นจะนำมาซึ่งความเศร้าโศก ในทางกลับกัน พระองค์ทรงอวยพรผู้ที่เชื่อฟังให้มีความสุข และเต็มไปด้วยพระคุณ
พระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้า เป็นความจริงนิรันดร์ พระคัมภีร์ประกอบไปด้วยเรื่องราวเกี่ยวกับการทรงสร้าง การไม่เชื่อฟังของมนุษย์ต่อพระเจ้า และความทุกข์ทรมานซึ่งมาสู่มนุษย์เพราะความบาป นอกจากนี้ยังบอกเราถึงความรักขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ในการวางแผนการไถ่ของพระองค์ มีเรื่องราวการประสูติของพระผู้ช่วยให้รอด ผู้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อบาปของมนุษย์ และทรงฟื้นจากความตายเพื่อความรอดของมนุษย์ ใครก็ตามที่เชื่อข้อความนี้จะได้รับการอภัยบาป ได้รับความสงบในจิตใจ ได้รับความรักที่มีต่อมนุษย์ทุกคน ได้รับอำนาจเหนือความบาป และความหวังที่จะมีชีวิตนิรันดร์ พระเจ้าผู้สร้างจักรวาลทรงเป็นอยู่เสมอ พระองค์อยู่ทุกหนทุกแห่ง ทรงฤทธานุภาพและปรีชาญาณ ทุกสิ่งจึงถูกสร้างขึ้นด้วยฤทธิ์อำนาจอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ พระเจ้าสร้างโลกที่ปกคลุมไปด้วยน้ำ พระองค์ตรัสว่า “จงให้ที่แห้งปรากฏขึ้น” และแผ่นดินก็เกิดขึ้น พระองค์ทรงสร้างเนินเขาและหุบเขา คลุมด้วยหญ้า ดอกไม้สวยงาม และต้นไม้ทุกชนิด พระองค์ทรงสร้างนกที่ร้องเพลงต่างๆ มากมาย พระเจ้าสร้างสัตว์ทั้งเล็กและใหญ่ที่เดินไปตามทุ่งนาและป่าไม้ตลอดจนแมลงขนาดเล็กและสัตว์เลื้อยคลานที่อาศัยอยู่ในพื้นดิน พระองค์ทรงสร้างทะเลสาปและมหาสมุทรและสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่อาศัยอยู่ในนั้น พระองค์สร้างทวีปที่ผู้คนจากทุกเชื้อชาติจะอาศัยอยู่ พระเจ้าสร้างดวงอาทิตย์ให้แสงสว่างและความอบอุ่น และดวงจันทร์ให้แสงสว่างในเวลากลางคืน ทรงประดับท้องฟ้าด้วยดาวระยิบระยับที่สวยงามนับพัน สุดท้าย พระเจ้าได้ทรงปั้นมนุษย์จากผงคลีดิน พระองค์ระบายลมปราณแห่งชีวิตเข้าทางจมูก และมนุษย์ก็กลายเป็นวิญญาณที่มีชีวิต พระเจ้าเรียกเขาว่าอาดัม พระเจ้าเห็นว่าอาดัมต้องการผู้ช่วย ดังนั้นพระองค์จึงทรงทำให้เขาหลับสนิท จากนั้นพระเจ้าก็เอาซี่โครงจากอาดัมมาสร้างผู้หญิงขึ้นมาคนหนึ่ง อาดัมรักเอวาและเธอก็รักเขาเช่นกัน ต่างก็มีสามัคคีธรรมอันแสนหวานต่อกัน นี่คือแผนของพระผู้เป็นเจ้าสำหรับหน่วยครอบครัว พระเจ้าสร้างทุกสิ่งในหกวัน และในวันที่เจ็ดพระองค์ทรงพักผ่อน พระองค์ทอดพระเนตรทุกสิ่งที่ทรงสร้างและเห็นว่าดียิ่งนัก ดังนั้นพระเจ้าจึงทรงอวยพรวันที่เจ็ดและทรงชำระให้เป็นวันพักผ่อนของมนุษย์ พระคัมภีร์กล่าวถึงทูตสวรรค์ที่ตกสู่ความบาปที่เรียกว่าซาตานหรือมาร มันถูกขับออกจากสวรรค์และเป็นสาเหตุของความชั่วร้ายทั้งหมด มันทำให้ความโศก ความทุกข์ ความเจ็บไข้ ความตายเข้ามาในโลก พระเจ้ารักอาดัมและเอวา พระองค์ทรงสร้างสวนสวยงามให้พวกเขาอยู่อาศัยเรียกว่าสวนเอเดน อาดัมต้องดูแลมัน ในสวนนี้มีผักและผลไม้มากมายให้พวกเขากิน มีต้นไม้ต้นหนึ่งชื่อว่า ต้นไม้แห่งการรู้ดีรู้ชั่ว พระเจ้าบอกอาดัมว่าเขาไม่ควรกินต้นไม้นั้น เพราะในวันที่เขากินจากต้นนั้น เขาจะต้องตายอย่างแน่นอน วันหนึ่งซาตานมาหาเอวาและโกหกเธอ มันบอกว่า “เจ้าจะไม่ตายแน่…เจ้าจะเป็นเหมือนพระเจ้าที่รู้ดีรู้ชั่ว” (ปฐมกาล 3:4-5) เมื่อเธอมองดูผลของต้นไม้ที่สวยงามนี้ เธอเห็นว่ามันน่ารับประทาน และการกินก็ทำให้เกิดปัญญา เธอหยิบผลไม้ให้อาดัม แล้วทั้งสองคนก็กิน ทันใดนั้นพวกเขาก็รู้สึกผิดในใจ พวกเขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน พวกเขารู้ว่าพวกเขาทำสิ่งที่ผิดอย่างร้ายแรง ทั้งสองรู้สึกละอายใจเมื่อนึกถึงการไม่เชื่อฟังของพวกเขา ความกลัวเข้ามาในใจพวกเขาเมื่อนึกถึงการที่จะต้องพบพระเจ้า ดังนั้นพวกเขาจึงซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางต้นไม้ในสวน ในช่วงเย็น พระเจ้าเรียกอาดัมและถามว่า “เจ้าอยู่ที่ไหน” พวกเขาไม่สามารถซ่อนตัวจากพระเจ้าได้ ดังนั้นพวกเขาจึงเข้ามาเฝ้าพระองค์และยอมรับการกระทำผิดของพวกเขา พระเจ้าทำให้พวกเขาเข้าใจว่าการไม่เชื่อฟังพระบัญชาของพระองค์เป็นบาปใหญ่เพียงใด พระองค์บอกพวกเขาว่าพวกเขาจะต้องถูกลงโทษสำหรับการไม่เชื่อฟังของพวกเขา ตอนนี้พวกเขาจะต้องเจอกับความเจ็บปวดและปัญหาในชีวิต พวกเขาจะต้องทำงานหาเลี้ยงชีพ ร่างกายของพวกเขาจะแก่และทรุดโทรม พวกเขาจะตายและกลับไปเป็นผงคลีดินอีกครั้ง หลังจากที่พวกเขาถูกขับออกจากสวนที่สวยงามแห่งนี้แล้ว พระเจ้าได้ทรงตั้งเครูบถือดาบเพลิงเพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขากินต้นไม้แห่งชีวิต พวกเขาเริ่มเข้าใจผลของบาปและความเศร้าโศกที่ยิ่งใหญ่ที่นำมา อาดัมและเอวาเสียใจมากสำหรับบาปที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ทั้งๆ ที่พวกเขาทำบาป พระองค์ก็ยังทรงรักพวกเขา พระองค์สัญญาว่าจะส่งพระผู้ไถ่เพื่อความรอดของมนุษยชาติ
ทุกคนบูชาบางสิ่งบางอย่าง บางคนบูชาวัตถุ บูชามนุษย์ รูปเคารพ และบางคนบูชาตัวเอง พวกเขาแสดงความจงรักภักดีต่อเทพเจ้าของพวกเขาในรูปแบบต่างๆ ในขณะที่พวกเขาอุทิศตนเพื่อเทพเจ้าแต่ในใจของพวกเขายังคงมีความปรารถนาและร่ำร้องอยู่ พวกเขาพบเพียงความโล่งใจชั่วครั้งชั่วคราวที่ตอบสนองต่อการเรียกร้องของจิตวิญญาณและมีความกล้าที่จะเผชิญในวันรุ่งขึ้นอีกนิดหน่อย ความผิดหวังในอนาคตของพวกเขาก็เป็นเฉกเช่นเดียวกันกับอดีต เทพเจ้าที่พวกเขารับใช้ไม่สามารถเติมเต็มความว่างเปล่าในชีวิตได้ คุณบูชาใคร? เทพเจ้าของคุณอยู่ที่ไหน? เขายังมีชีวิตอยู่ไหม? วันนี้เขาทำอะไรให้คุณบ้าง? วันนี้คุณคุยกับเขาหรือยัง? เขาตอบเสียงร้องในหัวใจของคุณหรือไม่? คุณเชื่ออะไร? ฉันอยากจะแนะนำคุณให้รู้จักพระเจ้าที่แท้จริงองค์เดียวที่พิชิตซาตาน ศัตรูตัวฉกาจของเรา พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแห่งการทรงสร้าง ผู้ทรงตรัสทุกสิ่งให้เกิดขึ้นจริง พระคัมภีร์จะบอกคุณถึงพระเจ้าแห่งสวรรค์องค์นี้ ผู้ทรงสร้างมนุษย์จากผงคลีดิน ให้เรามาอ่านพระธรรมปฐมกาลบทที่หนึ่งและสอง พระองค์ทรงเป็นพระเจ้านิรันดร์ พระองค์ไม่มีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด ทรงเป็นเหมือนเดิมเมื่อวาน วันนี้ และตลอดไป พระองค์ทรงเป็นพระผู้สร้าง ทรงพิทักษ์และค้ำจุนทุกสิ่ง (กิจการ 17:22-34) พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่องค์นี้ ผู้สถิตในสวรรค์ยังสนใจคุณในฐานะบุคคล พระองค์เห็นคุณท่ามกลางผู้คนมากมาย พระองค์รักและห่วงใยคุณ ทรงอยากเป็นมากกว่าเพื่อนของคุณ พระองค์ทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของคุณ พระองค์ต้องการอยู่กับคุณ และยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ยังต้องการอยู่ในตัวคุณ พระองค์ตรัสว่า “จงเข้าสนิทอยู่ในเรา และเราเข้าสนิทอยู่ในท่าน” (ยอห์น 15:4) ถ้าพระองค์ไม่สถิตอยู่ในใจคุณ แล้วจะมีใครเล่า? เมื่อดูให้ดี เราจะเห็นว่าซาตานกำลังปกครองและทำลายชีวิตผู้คนจำนวนมาก มันครอบครองหัวใจผู้คนเหล่านั้นและแนะนำความชั่วร้ายทั้งหลายเช่น การโกหก การขโมย ความต้องการทางเพศ การโกง การแสวงหาการแก้แค้น และการโปรโมตตัวเอง หากซาตานอยู่ในใจคุณ และชักจูงให้คุณหลงระเริงกับบาปเหล่านี้และอื่น ๆ ทำไมไม่ลองมาหาพระเจ้าแห่งเทพเจ้า ผู้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์คือพระเยซูคริสต์ให้ตายเพื่อบาปของคุณและบาปของโลกทั้งหมด (ยอห์น 3:16) คุณถามว่า “มันจะเป็นจริงได้อย่างไร? พระองค์ผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ทรงฤทธานุภาพจะทรงสถิตอยู่ในใจฉันได้อย่างไร?” (อิสยาห์ 57:15) หากคุณป่วยและเหนื่อยกับความบาป ทำไมไม่ร้องทูลพระเจ้าและกลับใจเสียใหม่ โดยความเชื่อในพระเจ้าและโดยพระโลหิตแห่งการไถ่ของพระคริสต์ บาปของคุณจะได้รับการอภัยและคุณจะได้รับธรรมชาติใหม่ เมื่อซาตานมาทดลอง คุณจะรู้สึกถึงการประทับของพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพ พระองค์จะประทานการชี้นำและสอนคุณในทุกสิ่ง (ยอห์น 14:26) ในยอห์น 10:10 พระเยซูทรงสัญญาถึงชีวิตที่ครบบริบูรณ์และพระองค์สามารถประทานชีวิตนั้นแก่คุณได้ ของประทานนี้จะเป็นของคุณตราบเท่าที่คุณยังคงซื่อสัตย์และเชื่อฟังพระองค์ “ถ้าเจ้าเต็มใจและเชื่อฟัง เจ้าจะได้กินผลดีแห่งแผ่นดิน” (อิสยาห์ 1:19) ไม่มีพระเจ้าอื่นใดยิ่งใหญ่เท่านี้
คุณเป็นคนที่มีความสุขใช่ไหม? ความกลัวและความผิดบาปสามารถพรากความสุขของคุณได้ คุณอาจสงสัยว่า “ฉันจะมีความสุขได้อย่างไร” ฉันมีข่าวดีที่จะบอกคุณ! มีคนผู้หนึ่งที่สามารถช่วยคุณได้ เขาสามารถยกโทษบาปของคุณและให้ความสุขที่ยั่งยืนแก่คุณ ชื่อของเขาคือพระเยซู ฉันอยากจะเล่าเรื่องราวของพระองค์ให้คุณได้ฟัง พระบิดาของพระองค์คือพระเจ้าผู้ทรงสร้างโลก พระองค์ทรงสร้างทุกสิ่งในโลกนี้ให้กับคุณและฉัน พระเจ้ารักเรา ทรงรักทุกคนในโลก พระเจ้ารักเรามากจนส่งพระเยซูพระบุตรองค์เดียวของพระองค์มายังโลกนี้ เมื่อพระเยซูอยู่บนโลกนี้ พระองค์ทรงรักษาคนเจ็บป่วยและปลอบโยนคนเศร้า รักษาคนตาบอดให้หายและสั่งสอนหลายสิ่งหลายอย่างให้แก่ผู้คน พระเยซูต้องการให้เราเข้าใจถึงความรักอันยิ่งใหญ่ที่พระบิดามีต่อคุณและฉัน พระองค์ทรงเล่าเรื่องๆหนึ่งที่อธิบายความรักของพระบิดา คุณสามารถหาอ่านได้ในพระธรรมลูกา 15:11-24 ชายคนหนึ่งมีบุตรชายสองคน เขาคิดว่าทุกอย่างดำเนินไปด้วยดี จนกระทั่งวันหนึ่งบุตรชายคนหนึ่งคิดกบฎและมาหาเขาและพูดว่า “ฉันไม่ชอบบ้านหลังนี้ ฉันต้องการไปตามเส้นทางของตัวเอง ฉันจะไปจากบ้านหลังนี้ ช่วยแบ่งมรดกให้ฉันด้วย” พ่อเสียใจมาก แต่เขาก็ให้เงินแก่บุตรชายและปล่อยเขาไป เขาสงสัยว่าเขาจะได้พบบุตรชายของเขาอีกหรือไม่ ลูกชายจากไปไกล เขามีความสุขกับการใช้เงินและเพื่อนๆ เขาใช้จ่ายเงินโดยประมาทด้วยการใช้ชีวิตที่เห็นแก่ตัว เขาคิดว่าเขากำลังมีช่วงเวลาดีๆ จนกระทั่งจู่ๆ เงินของเขาก็หมดและเพื่อนๆ ก็ทิ้งเขาไป เขาอยู่คนเดียวและขัดสน ตอนนี้เขาควรทำอย่างไร? เขาไปหาชาวนาและชาวนาก็ส่งเขาไปเลี้ยงหมู เขาได้กินอาหารเพียงเล็กน้อย เขาหิวมากจนต้องกินอาหารหมู เขาเริ่มคิดถึงสิ่งเลวร้ายทั้งหลายที่เขาได้ทำลงไปรวมถึงสิ่งที่กระทำต่อพ่อของเขา เขามีความทุกข์มากขึ้นเรื่อยๆ อยู่มาวันหนึ่งเขาระลึกถึงความรักของพ่อที่มีต่อเขามากมายเพียงใด เขาได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีขณะที่เขาอยู่ที่บ้าน แม้แต่คนใช้ของพ่อก็ยังมีอาหารกินอย่างมากมาย เขาคิดว่า “ฉันสามารถกลับไปหาพ่อหลังจากทำสิ่งเลวร้ายต่อท่านได้ไหมนะ? ท่านจะยังรักฉันอยู่ไหมนะ? ฉันไม่คู่ควรที่จะเป็นลูกของท่าน ฉันเต็มใจที่จะเป็นแค่คนรับใช้หากเพียงท่านรับฉันเข้าไป” ทันใดนั้น เขาก็ลุกขึ้นและเดินทางกลับไปหาพ่อของเขา เขาอยากรู้ว่าพ่อของเขาจะให้อภัยเขาหรือไม่ พ่อเฝ้ารอคอยนับตั้งแต่บุตรชายจากไป เขามักจะสงสัยว่า “เขาจะกลับมาไหมนะ” วันหนึ่งเขาเห็นใครบางคนเดินมาแต่ไกล นั่นอาจจะเป็นลูกชายของเขา เมื่อเห็นดังนั้น เขาก็วิ่งไปโอบกอดบุตรชายของเขา “พ่อครับ” บุตรชายกล่าว “ลูกได้ทำบาปต่อพ่อแล้ว ลูกไม่คู่ควรที่จะเป็นลูกของพ่อ” แต่พ่อของเขากล่าวว่า “จงนำเสื้อผ้าที่ดีที่สุดมาให้ลูกชายของฉันและจงเตรียมงานเลี้ยง ลูกชายของฉันหายไป แต่ตอนนี้ฉันพบเขาแล้ว” เราทุกคนเป็นเหมือนลูกชายคนนี้ เราทุกคนหลงจากพระเจ้าซึ่งเป็นพระบิดาของเรา เราได้เสียโอกาสและสิ่งดีๆ มากมายที่พระองค์ประทานแก่เรา เราดำเนินชีวิตอย่างเห็นแก่ตัวและกบฏต่อพระองค์ วันนี้พระบิดาบนสวรรค์ทรงเชิญเราให้มาหาพระเยซู พระองค์กำลังรอเราด้วยอ้อมแขนของพระองค์ พระเยซูทรงแสดงความรักของพระองค์แก่เราโดยการสละพระชนม์ชีพของพระองค์เป็นเครื่องบูชาไถ่บาปของเราและของคนทั้งโลก พระองค์ทรงทนรับความเจ็บปวดและการปฏิเสธขณะทรงยอมให้คนชั่วร้ายตรึงพระองค์ไว้ที่กางเขน โดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า พระองค์ทรงฟื้นจากความตายและทรงพระชนม์อยู่เป็นนิตย์ จงกลับมาหาพระเยซูและขอให้พระองค์ยกโทษบาปของคุณ เมื่อพระองค์ทรงเห็นว่าคุณเสียใจในความผิดที่คุณทำ พระองค์จะทรงยกโทษให้คุณและล้างบาปทั้งหมดของคุณออกด้วยพระโลหิตที่หลั่งไหลของพระองค์ มันจะเป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยม! คุณจะกลายเป็นคนใหม่ ชีวิตจะมีความหมายใหม่ พระเยซูจะประทานความสุขแทนที่ความรู้สึกผิดและความกลัวของคุณ พระองค์จะเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของคุณ
พระคัมภีร์ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายที่จะให้ความสำคัญกับซานตานและงานของมัน แต่เรามักจะเห็นลักษณะและงานของมันที่ปรากฏและเปิดเผยให้เห็นในพระคัมภีร์ ครั้งหนึ่งซาตานเคยเป็นทูตสวรรค์ แต่มันหันหลังให้กับพระเจ้าผู้สร้างมัน และต้องการเป็นเหมือนพระองค์ กิจวัตรของอาณาจักรแห่งความมืดของซาตานไม่ใช่เรื่องใหม่ สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องปกติของความพยายามของมันตลอดยุคสมัยที่จะแข่งขันกับอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า มันกำลังเสนอทางเลือกอื่นที่มันคิดว่าประสบผลสำเร็จแทนสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำโดยฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในพระธรรมอพยพ เราได้เห็นถึงอำนาจของนักมายากลแห่งอียิปต์ที่พยายามถอดแบบการอัศจรรย์ที่พระเจ้าทำผ่านมือของโมเสส ในหนังสือโยบ ซาตานแสดงความริษยาในความสัตย์ซื่อของโยบที่มีต่อพระเจ้า มันใช้ความโหดร้ายและกีดกัน พยายามบังคับให้โยบหันหลังให้พระเจ้า วิธีการของซาตานมีลักษณะดังนี้ คือ ใช้ความกลัว การคุกคาม การสัญญาว่าจะให้ความสุขหรืออำนาจ การข่มขู่ และความสงสัย สิ่งแรกๆ ที่มันแนะนำดูน่าสนใจและน่าทึ่ง มันแนะนำว่า “คุณอยากรู้อนาคตหรือเข้าใจในสิ่งที่คนอื่นทำไม่ได้ไหม?” มันอาจเสนอวิธีรักษาที่อยู่เหนือขอบเขตของวิทยาศาสตร์ เรื่องของโหราศาสตร์หรือการดูดวงอาจดูไม่มีพิษมีภัยแต่ในไม่ช้ามันก็จะตามมาด้วยมนต์ขลังหรือคาถา การดูฤกษ์ยามหรือเลขอัปมงคล มันแนะนำว่ามีวิญญาณบางดวงที่ต้องให้ความเคารพและเกรงกลัวเพราะมีพลังเหนือเรา ดังนั้นซาตานจึงดักผู้ไม่ระวังภัยให้อยู่ในห้วงแห่งความกลัวมันและสมุนของมัน มีคนจำนวนมากที่จมอยู่กับความอยากรู้อยากเห็นในสิ่งที่ตอนแรกดูเหมือนไม่ค่อยมีพิษมีภัย เช่นการเล่นผีถ้วยแก้ว ดูดวง ดูลายมือและอื่นๆ อีกมากมาย พวกเขาทำให้ตัวเองเสี่ยงต่อวิญญาณชั่วร้ายที่จะสร้างปัญหาให้กับพวกเขาในภายหลัง เป้าหมายของซาตานคือการกัดเซาะและทำลายความเชื่อในพระเจ้าของคริสเตียน คริสเตียนประสบชัยชนะโดยการมีความเชื่อในพระคริสต์และในพระองค์เท่านั้น ความปรารถนาที่จะรู้ในสิ่งที่ไม่รู้หรือกระหายหาอำนาจกระตุ้นให้คนอยากลองสิ่งที่เป็นของอาณาจักรซาตาน ความไว้วางใจในพระเจ้าทำให้คนเราสงบนิ่งกับสิ่งที่ไม่รู้จัก และมั่นใจในฤทธิ์อำนาจของพระคริสต์ เมื่อเริ่มต้นจากความอยากรู้อยากลอง ในไม่ช้าคนผู้นั้นก็จะติดกับดักแห่งความกลัว กลัวสิ่งที่อาจเกิดขึ้น กลัวอำนาจที่ใหญ่กว่า กลัวคนอื่นๆ แม้กระทั่งกลัวซาตานเอง ความกลัวเหล่านี้ปกคลุมบุคคลที่ยอมให้ตนเองเข้าไปพัวพันกับการกระทำที่คลุมเครือ เพื่อตอบสนองต่อความกลัวนี้ ซาตานอ้างว่ามียาแก้พิษ มันจะให้อำนาจมากขึ้นถ้าผู้นั้นยอมจำนนต่อพิธีกรรมบางอย่างหรือการเชื่อฟังอื่น ๆ ความกลัววิญญาณอื่นสามารถรับมือได้ด้วยการครอบครองหรือมีพลังที่ยิ่งใหญ่กว่า ดังนั้น บุคคลนั้นจึงได้รับการนำเสนอพลังอำนาจที่มีระดับสูงมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง แทนที่จะทำให้บุคคลนั้นเข้าถึงความสงบในระดับที่มากขึ้นกลับทำให้เกิดการวกเวียนลงไปสู่ส่วนลึกของสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนของซาตานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ความมั่นคงปลอดภัยที่ยากเกินเข้าใจที่ซาตานสัญญาไว้นั้นถูกแทนที่ด้วยความต้องการในการปกป้องจากอำนาจที่สูงกว่าในอาณาจักรที่ชั่วร้าย นี่คือระบบของซาตาน แผนของซาตานคือการแทนที่พระเจ้า ซาตานถูกสร้างมาเพื่อบูชา ไม่ใช่เพื่อรับการบูชา มันไม่ใช่อำนาจสูงสุด มันไม่สามารถเอาชนะพระเมษโปดกของพระเจ้าได้ มันไม่สามารถให้ความปลอดภัย มันไม่สนใจความเป็นอยู่ที่ดีของเรา อย่างไรก็ตาม มันยังคงทำงานอย่างต่อเนื่องโดยใช้อำนาจเหนือผู้คนเพื่อนำพวกเขามาอยู่ใต้อำนาจของมัน มันพยายามสร้างความไม่ไว้วางใจต่อพระเจ้าและอาณาจักรของพระองค์ มันพยายามที่จะจัดตั้งองค์กรที่ตัวมันเป็นเจ้านาย สิ่งนี้ถูกพัฒนาผ่านความกลัวอย่างเป็นระบบและอำนาจที่เป็นภาพลวงตา มันทำการอัศจรรย์เพื่อสร้างความน่าเกรงขามในใจของผู้คน (2 โครินธ์ 11:14-15) ผลกระทบของระบบนี้คือการทำลายสันติภาพและความมั่นคงของบุคคล ครอบครัว และการปกครอง มันจับผู้คน ทำให้พวกเขารู้สึกถูกคุกคามหากพวกเขาพยายามหลบหนี ซาตานเป็นศัตรูที่รุนแรงที่สุด ร้ายกาจที่สุด ชั่วร้ายที่สุด และน่ากลัวที่สุดที่คุณมี มันไร้เกียรติโดยสิ้นเชิง โกหกและไม่มีความจริงในตัวของมัน - “มันเป็นผู้มุสา และเป็นพ่อของการมุสา” (ยอห์น 8:44) มันเป็นฆาตกร ผู้ทำลาย เป็นศูนย์รวมของความเกลียดชังและความชั่วร้าย เป็นคนชั่วอย่างที่สุดและตลอดไปโดยไม่มีความดีใด ๆ เลย
ฉันมีเพื่อนคนหนึ่ง เขาเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดที่ฉันเคยมี เขาใจดีและจริงใจมากจนอยากให้คุณรู้จักพระองค์ด้วย ชื่อของเขาคือพระเยซู ที่อัศจรรย์ยิ่งก็คือพระองค์ต้องการเป็นเพื่อนของคุณด้วย ฉันอยากจะเล่าเรื่องราวของพระองค์ให้คุณฟัง เรามาอ่านเรื่องนี้ในพระคัมภีร์กัน พระคัมภีร์เป็นความจริงและ เป็นพระคำของพระเจ้า พระเจ้าคือผู้สร้างโลกและทุกสิ่งบนโลกใบนี้ พระองค์ทรงเป็นเจ้าแห่งสวรรค์และโลก พระองค์ประทานชีวิตและลมหายใจให้กับทุกสิ่ง พระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า พระเจ้าส่งพระองค์จากสวรรค์มายังโลกนี้เพื่อเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเราเอง พระเจ้ารักโลกมาก (หมายความว่าพระองค์ทรงรักคุณและฉัน) ที่พระองค์ส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์คือพระเยซู (เพื่อสิ้นพระชนม์เพื่อบาปของเรา)เพื่อว่าใครก็ตามที่เชื่อในพระองค์จะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ (ยอห์น 3:16) พระเยซูเสด็จมาบนโลกตั้งแต่ยังเป็นทารกน้อย พ่อและแม่บนแผ่นดินโลกของพระองค์คือโยเซฟและมารีย์ พระองค์เกิดในโรงวัวและนอนในรางหญ้า พระเยซูเติบโตในครอบครัวที่มีโยเซฟและมารีย์เป็นบิดามารดา พระองค์เชื่อฟังพวกเขา พระองค์มีพี่น้องและใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน พระองค์ช่วยโยเซฟทำงานในร้านช่างไม้ เมื่อพระเยซูเติบโตเป็นผู้ใหญ่ พระองค์ทรงสอนผู้คนเกี่ยวกับพระบิดาในสวรรค์ของพระองค์ แสดงให้พวกเขาเห็นว่าพระเจ้ารักพวกเขา พระองค์ทรงรักษาคนป่วยและปลอบโยนผู้ที่มีปัญหา พระองค์เป็นเพื่อนของเด็กๆด้วย พระองค์ต้องการให้เด็กๆอยู่ใกล้ชิดกับพระองค์ ทรงมีเวลาให้กับพวกเขา เด็กๆ รักพระเยซูและรักที่จะอยู่กับพระองค์ บางคนไม่ได้รักพระเยซู พวกเขาอิจฉาและถึงกับเกลียดชังพระองค์ พวกเขาเกลียดชังพระองค์มากจนอยากจะฆ่าพระองค์ ในวันที่น่ากลัวพวกเขาฆ่าพระเยซูโดยตรึงพระองค์ไว้ที่ไม้กางเขน พระองค์ไม่ได้ทำผิดอะไร พระองค์ต้องตายแทนเราเพราะคุณกับฉันทำผิด เรื่องราวของพระเยซูไม่ได้จบลงด้วยการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ พระเจ้าทำให้พระองค์ฟื้นจากความตาย! เหล่าสาวกได้เห็นพระองค์จนกระทั่งวันหนึ่งพระองค์ได้เสด็จกลับสู่สวรรค์ วันนี้พระองค์สามารถได้ยินได้เห็นคุณ พระองค์รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับคุณและห่วงใยคุณ เพียงมาหาพระองค์ในคำอธิษฐาน บอกพระองค์ในทุกปัญหาของคุณ พระองค์พร้อมที่จะช่วยเหลือคุณ คุณสามารถก้มศีรษะและพูดคุยกับพระองค์ได้ทุกที่ทุกเวลา พระองค์จะกลับมาอีกในไม่ช้า! และพระองค์จะนำบรรดาผู้ที่เชื่อในพระองค์กลับไปยังบ้านที่อยู่บนสวรรค์
ยอห์น 10:1-18 คุณเคยได้ยินใครเรียกชื่อคุณแต่ไม่รู้ว่าเสียงมาจากไหนหรือไม่? หรือบางทีคุณแทบจะไม่ได้ยินเสียงเลย เพราะมีเสียงรบกวนรอบข้างมากเกินไป ฟังสิ มีเสียงเรียกคุณอยู่นะ! คุณคือใคร? คุณชื่ออะไร? คุณมาจากที่ไหน? คุณอาศัยอยู่ที่ไหน? คุณกำลังจะไปไหน? คุณรู้จักชื่อหมู่บ้านของคุณ บางทีคุณอาจไม่เคยไปที่อื่นเลย แต่คุณรู้ว่าหมู่บ้านของคุณเป็นส่วนหนึ่งของประเทศ และประเทศต่างๆ ก็เป็นส่วนหนึ่งของโลกใบใหญ่ เกือบ 6,000 ปีที่แล้วเมื่อโลกถูกสร้างขึ้น มันถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้า พระเจ้ามีหนังสือเล่มหนึ่งที่เรียกว่าพระคัมภีร์ ซึ่งบอกเรื่องราวการสร้างโลกของพระเจ้า และการสร้างมนุษย์ชายหญิงคู่แรก พระเจ้าได้สร้างมนุษย์ตามแบบอย่างของพระองค์ จากนั้นก็เกิดลูกหลาน ผู้คนเริ่มมีการเกิด และตายตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา คุณเกิดมาจากพ่อแม่แต่ที่จริงแล้วพระเจ้าเป็นผู้สร้างคุณมา พระองค์สร้างทุกสิ่ง คุณเคยคิดไหมว่าพระเจ้าสร้างทุกสิ่งอย่างน่าอัศจรรย์และพระองค์ทรงสร้างคุณอย่างไร? พ่อแม่ของคุณตั้งชื่อให้คุณ พระเจ้ารู้จักชื่อของคุณ พระองค์รู้จักชื่อของทุกคนไม่ว่าจะเป็นภาษาไหน พระองค์ทรงรู้ทุกสิ่ง เพราะพระเจ้าสร้างเรา พระองค์รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเรา พระองค์ทรงรักเราเพราะเราเป็นของพระองค์ พระองค์ทรงเป็นพระบิดาในสวรรค์ของเรา และพระองค์ทรงห่วงใยเรามากกว่าพ่อแม่ของเราเอง พระเจ้าทรงเป็นอยู่เสมอ ทรงมีชีวิตนิรันดร์ ดังนั้นเมื่อพระองค์ใส่ลมปราณของพระองค์ในตัวเรา ก็ทำให้เรามีชีวิตตลอดไปเช่นกัน เปล่า…ไม่ใช่ร่างกายที่ต้องตายของเราแต่เป็นวิญญาณในตัวเราที่มีชีวิตอยู่ตลอดไป คุณรู้จักพระเจ้าไหม? บางทีคุณอาจถามว่า “พระเจ้าคือใคร? พระองค์อยู่ที่ไหน?" คุณต้องการที่จะรู้จริงๆ หรือ? ใช่แล้ว… คุณต้องการ ในใจลึกๆ ของคุณต้องการรู้จักพระองค์ คุณไม่เคยเห็นพระเจ้าใช่ไหม? ไม่เคย… แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพระองค์ไม่มีตัวตน มีพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น ไม่มีพื้นที่สำหรับพระอื่นใด เพราะผู้ที่เป็นพระเจ้าจริงๆ นั้นครอบครองสวรรค์และโลก พระองค์อยู่ทุกหนแห่งในเวลาเดียวกัน บ้านของพระเจ้าคือสวรรค์ซึ่งเป็นสถานที่สวยงาม แต่พระองค์ก็ทรงสถิตอยู่ในใจของผู้คนที่เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์ด้วย ฉันจะเรียนรู้ที่จะรู้จักพระเจ้าได้อย่างไร? นั่นคือคำถามที่คุณกำลังถามใช่ไหม? พระเจ้ามีแผนการณ์อันยอดเยี่ยมที่จะแสดงให้เราเห็นว่าเราจะรู้จักพระองค์ได้อย่างไร พระเจ้าส่งพระเยซูพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ลงมาจากสวรรค์เพื่อแสดงให้ผู้คนเห็นว่าพระองค์เป็นผู้ใดและพระองค์เป็นอย่างไร พระเจ้าและพระเยซูเป็นหนึ่งเดียวกัน โดยปาฏิหาริย์ของพระเจ้า พระบุตรของพระเจ้าได้ประสูติเป็นทารกและเติบโตเป็นผู้ใหญ่ หลังจากนั้นในช่วงเวลาสามปี พระเยซูทรงบอกเล่าให้ผู้คนให้เห็นถึงความรักของพระเจ้า พระบิดาของพระองค์ พระองค์บอกพวกเขาว่าพระเจ้าทรงบริสุทธิ์และทนเห็นความบาปไม่ได้ จากนั้นพระเจ้าได้ทรงสร้างหนทางให้เรารอดจากบาปของเรา พระองค์ปล่อยให้พระเยซูพระบุตรของพระองค์ถูกตรึงไว้ที่กางเขนโดยคนชั่ว พระองค์ทรงสละพระชนม์ชีพ ความรักของพระองค์ยิ่งใหญ่มาก! พระองค์ทรงเป็นเครื่องบูชาที่สามารถชดใช้ความบาปของคนทั้งโลกได้ บาปทุกอย่างที่คุณเคยทำ บาปทุกอย่างของเด็กๆ รวมทั้งชายหญิงทุกคน พระเยซูยังอยู่บนไม้กางเขนใช่ไหม? พระเยซูยังอยู่ในอุโมงค์ใช่ไหม? ไม่เลย ผ่านไปสามวันพระองค์ทรงฟื้นคืนพระชนม์อย่างมีชัยชนะ จากนั้นพระองค์ได้กลับไปสวรรค์และรอจนกว่าพระเจ้าตรัสว่าโลกจะถึงจุดจบ แล้วพระองค์จะทรงเป็นผู้พิพากษาที่ชอบธรรมของคนทั้งปวง คุณมีหนังสือพระธรรมยอห์นหรือไม่? อยากให้คุณอ่านในบทที่ 10 ยอห์นได้เขียนสิ่งที่พระเยซูทรงบอกผู้คน สิ่งที่พระองค์ตรัสก็ยังคงตรัสกับเราในทุกวันนี้ พระเยซูตรัสว่าพระองค์ทรงเป็นผู้เลี้ยงที่ดีและทรงสละพระชนม์ชีพเพื่อแกะ เราเป็นแกะ บรรดาแกะของพระองค์ย่อมรู้จักสุรเสียงของพระองค์ พระองค์เรียกชื่อพวกเขาและพวกเขาก็จะตามพระองค์ ส่วนคนแปลกหน้าพวกเขาจะไม่ตาม
แรกเริ่มเดิมที ไม่มีอะไรในโลกนี้ ไม่มีปลา ไม่มีดวงดาวบนท้องฟ้า ไม่มีทะเลและดอกไม้ที่สวยงาม ทั้งหมดว่างเปล่าและมืดมิด แต่มีพระเจ้า พระเจ้ามีแผนการที่ยอดเยี่ยม พระองค์คิดถึงโลกที่สวยงาม และในขณะที่พระองค์คิด พระองค์ทรงสร้างมันขึ้นมา พระองค์สร้างทั้งหมดจากความว่างเปล่า เมื่อพระเจ้าสร้างสิ่งใด พระองค์เพียงตรัสว่า “จงเกิดขึ้นมา” และมันก็เป็นไปตามนั้น! พระองค์ทรงสร้างแสงสว่าง ทรงสร้างแม่น้ำและทะเล แผ่นดินที่มีหญ้าปกคลุม สัตว์ต่างๆ นกและต้นไม้ สุดท้าย พระองค์ทรงสร้างผู้ชาย แล้วทรงสร้างภรรยาให้ชายนั้น ชื่อของพวกเขาคืออาดัมและเอวา พระเจ้าทรงรักพวกเขามาก ทุกเย็นพระองค์เสด็จเยี่ยมพวกเขาในสวนที่พวกเขาอาศัยอยู่ สวนทั้งสวนเป็นที่สำหรับพวกเขา ยกเว้นต้นไม้ต้นหนึ่ง ซึ่งเป็นต้นไม้ต้องห้ามของพระเจ้า อาดัมและเอวามีความสุขมาก จนวันหนึ่งซาตานซึ่งเป็นศัตรูของพระเจ้ามาทดลองพวกเขา พวกเขาตัดสินใจชิมผลของต้นไม้ต้องห้ามของพระเจ้า พวกเขาทำบาป และเป็นครั้งแรกที่พวกเขารู้สึกละอายและเศร้าใจ พวกเขาไม่สามารถพูดคุยกับพระเจ้าได้อีกต่อไป ตอนนี้พวกเขาเจ็บปวดและลำบาก และพวกเขาจะต้องตาย พวกเขาเสียใจแค่ไหน! พระเจ้าสัญญาว่าจะช่วยพวกเขา เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม พระองค์จะทรงส่งพระบุตรของพระองค์เข้ามาในโลก พระเยซูจะเสด็จลงมาจากสวรรค์และหาวิธีให้บาปได้รับการอภัย การทำเช่นนี้พระองค์จะต้องทรงทนทุกข์และสิ้นพระชนม์เพื่อมนุษยชาติ พวกเขาดีใจมากที่พระเจ้าส่งพระผู้ช่วยให้รอดมาให้พวกเขา! อาดัมและเอวามีลูกหลาน และผู้คนมากมายอาศัยอยู่ในโลก พระเจ้าต้องการให้ทุกคนมีความสุข พระองค์บอกพวกเขาว่าต้องทำอย่างไร นี่คือกฎเกณฑ์ที่พระเจ้ามอบให้พวกเขา: สิ่งเหล่านี้เขียนไว้ในพระคัมภีร์เพื่อให้เราสามารถอ่านได้ ถ้าเราเชื่อฟังเราจะมีความสุข ซาตานไม่ต้องการให้เราเชื่อฟังบทบัญญัติเหล่านี้ บางครั้งมันบอกเราให้ขโมยของขณะที่คนเผลอ แต่พระเจ้ารู้ดี พระเจ้าเห็นทุกสิ่ง บางครั้งซาตานล่อลวงให้เราโกหกและทำให้เราคิดว่าจะไม่มีใครรู้เรื่องนี้ แต่พระเจ้ารู้ดี พระองค์ได้ยินทุกอย่าง เมื่อเราทำสิ่งเหล่านี้ ภายในใจของเราจะรู้สึกแย่ พระเจ้ารักเราและต้องการช่วยให้เราเป็นคนดี นั่นเป็นเหตุผลที่พระองค์ทรงส่งพระเยซูเข้ามาในโลก พระเจ้าจดจำพระสัญญาของพระองค์ ผ่านไปหลายปีพระเยซูประสูติเป็นทารกน้อย พระองค์เติบโตและเป็นผู้ใหญ่ พระองค์ทรงทำสิ่งอัศจรรย์มากมาย พระองค์รักษาคนป่วย พระองค์ทรงทำให้คนตาบอดมองเห็น พระองค์ทรงอวยพรเด็กๆ พระเยซูไม่เคยทำอะไรผิด พระองค์บอกผู้คนเกี่ยวกับพระเจ้าและวิธีเชื่อฟังพระองค์ ไม่นานศัตรูของพระเยซูก็ตรึงพระองค์ที่ไม้กางเขนจนสิ้นพระชนม์ พระองค์ทรงทนทุกข์และสิ้นพระชนม์เพื่อบาปของคนทั้งปวง แม้แต่คนที่ตรึงพระองค์ไว้ที่กางเขน พระเยซูถูกฝัง แต่แล้วสิ่งมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้น พระองค์ไม่ได้อยู่ในหลุมฝังศพ พระองค์ฟื้นจากความตาย! หลังจากนั้นไม่นาน พระเจ้าก็พาพระองค์กลับสวรรค์ท่ามกลางหมู่เมฆ ขณะที่เพื่อนๆ ของพระองค์มองดูพระองค์จากไป ทูตสวรรค์บอกพวกเขาว่าพระเยซูจะเสด็จกลับมาอีกครั้ง พระเยซูสิ้นพระชนม์เพื่อบาปของเราเช่นกัน พระองค์ทรงต้องการให้เราเสียใจและสารภาพบาปของเรา พระองค์พร้อมที่จะให้อภัยเรา เราสามารถอธิษฐานต่อพระเจ้าได้ตลอดเวลา พระองค์ได้ยินทุกคำและรู้ทุกความคิด พระองค์ทำให้เรารู้สึกมีความสุขภายในเมื่อบาปของเราได้รับการอภัย แล้วเราอยากจะทำในสิ่งที่ถูกต้อง และอยากทำดี เราอาจเลือกที่จะไม่เชื่อฟังพระเจ้าและติดตามซาตาน แต่พระวจนะของพระเจ้าบอกว่าถ้าเราปฏิเสธพระองค์ในชีวิตนี้ พระองค์จะทรงโยนเราลงนรก นรกเป็นสถานที่แห่งไฟที่เผาไหม้ตลอดกาล
ศาสนาคริสต์มีพื้นฐานมาจากพระเจ้า พระเยซูคริสต์ซึ่งเป็นพระบุตรของพระเจ้า และพระคัมภีร์ซึ่งเป็นพระวจนะของพระเจ้า คริสเตียนคือผู้ที่เชื่อพระคัมภีร์และดำเนินชีวิตตามคำสอนของพระเยซูคริสต์ วิถีชีวิตนี้นำสันติสุขและความพึงพอใจมาสู่โลกนี้และเตรียมเราให้พร้อมสำหรับบ้านในสวรรค์ พระคัมภีร์สอนว่ามีเพียงพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้นที่เป็นมาโดยตลอดและจะเป็นตลอดไป พระเจ้าทรงรู้ทุกสิ่ง สติปัญญาและความรู้ของพระองค์นั้นไร้ขีดจำกัด พระคัมภีร์กล่าวไว้ในสุภาษิต 15:3 ว่า “พระเนตรของพระเยโฮวาห์อยู่ในทุกแห่งหน ทรงเฝ้าดูคนชั่วและคนดี” พระองค์อยู่ทุกที่และให้ความสนใจกับทุกคนในโลกอย่างเต็มที่ในเวลาเดียวกัน เราสามารถอธิษฐานถึงพระเจ้าได้จากทุกที่และทุกเวลา พระองค์ทรงฟังคำอธิษฐานของเราและจะทรงตอบตามที่ทรงเห็นดีว่าที่สุด มีพระเจ้าเพียงองค์เดียว แต่ปรากฏในสามบุคคล (หรือสามพระภาค) คือ พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร และพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทั้งสามมีความแตกต่างกัน แต่ทำงานร่วมกันอย่างกลมกลืนเพราะเป็นหนึ่งเดียวกัน พระเจ้าทรงสร้างโลกและทุกอย่างบนโลก ทรงสร้างดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว ดิน น้ำ นก และปลาภายในห้าวัน และในวันที่หก พระเจ้าได้ทรงสร้างสรรพสิ่งในแผ่นดิน แล้วทรงสร้างมนุษย์ตามพระฉายของพระองค์เอง มนุษย์เป็นมงกุฎแห่งการทรงสร้างของพระเจ้าและเป็นการแสดงออกถึงความรักของพระองค์ พระเจ้าสร้างอาดัม มนุษย์คนแรกที่บริสุทธิ์และปราศจากบาป พระเจ้าต้องการให้มนุษย์รับใช้พระองค์โดยให้ทางเลือกส่วนบุคคล พระองค์ประทานบัญญัติง่ายๆ แก่อาดัมและเอวาภรรยาเพียงข้อเดียว แต่พวกเขาเลือกที่จะไม่เชื่อฟัง เพราะบาปของพวกเขา พวกเขาจึงถูกแยกออกจากพระเจ้า การไม่เชื่อฟังของพวกเขาทำให้ทุกคนตกอยู่ภายใต้การสาปแช่งของบาปและความตาย พระเจ้าเท่านั้นที่สามารถไถ่มนุษยชาติได้ เพราะความรักของพระองค์ “พระองค์ได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ที่บังเกิดมา เพื่อผู้ใดที่เชื่อในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์” (ยอห์น 3:16) พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า พระองค์เสด็จมายังโลกอย่างทารก เกิดจากหญิงพรหมจารีย์โดยฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเยซูทรงดำเนินชีวิตอย่างสามัญชน พระองค์ถูกมารมาล่อลวงใจในหลายๆ ทางเช่นเดียวกับเรา แต่พระองค์ไม่เคยทำบาป พระเยซูเสด็จไปทำความดี รักษาโรคต่างๆ ให้กับคนเป็นอันมาก พระองค์ทรงสอนพวกเขาเกี่ยวกับความรอดและความรักของพระบิดา จุดประสงค์ของพระองค์ในการเสด็จมาแผ่นดินโลกคือการถวายพระองค์เองเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปของคนทั้งโลก เมื่อพระเยซูทรงเทศนาเรื่องบาปและความเห็นแก่ตัว พวกผู้นำศาสนาโกรธพระองค์ พวกเขามอบพระองค์ให้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ตรึงพระองค์ไว้ หลังจากที่พระองค์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เหล่าสาวกได้นำพระศพไปฝังในอุโมงค์ ในวันที่สาม โดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า พระเยซูทรงฟื้นจากความตาย ก่อนที่พระองค์จะเสด็จกลับสวรรค์ พระองค์ทรงสอนเหล่าสาวกถึงวิธีสถาปนาอาณาจักรของพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นบุคคลที่สามของพระผู้เป็นเจ้าสามพระภาค พระองค์ทรงเปิดเผยพระประสงค์ของพระเจ้าต่อมนุษย์ พระองค์ทรงตำหนิผู้คนในเรื่องรูปเคารพและการกระทำที่เป็นบาป ทรงเชื้อเชิญให้มนุษย์ยอมรับการเสียสละของพระเยซูคริสต์ในการชดใช้บาปของพวกเขา สำหรับผู้ที่เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ พระเจ้าประทานของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์ทรงเป็นที่ปรึกษาในทุกปัญหาของชีวิต เป็นผู้ปลอบโยนในความทุกข์ยากทั้งหมด พระองค์ทรงตักเตือนคนอธรรม ทรงนำพวกเขาไปสู่ความจริงทั้งมวล พระคัมภีร์คือพระวจนะของพระเจ้าและข่าวสารของพระองค์ถึงมนุษย์ ไม่ใช่หนังสือที่มนุษย์สร้างขึ้น แต่เขียนขึ้นโดยคนของพระเจ้าในสมัยโบราณโดยได้รับแรงบันดาลใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระคัมภีร์บันทึกการสร้างโลกและมนุษย์ พระคัมภีร์บอกเราว่าทุกคนทำบาปและบาปนั้นแยกมนุษย์ออกจากพระเจ้า อธิบายถึงวิธีการไถ่ที่สามารถปลดปล่อยทุกคนจากพันธนาการของบาป พระคัมภีร์สอนเราถึงวิธีดำเนินชีวิตตามแบบพระเจ้าและวิธีเตรียมตัวสำหรับกัลปาวสาน
ในเมืองใหญ่ของกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส มีอนุสาวรีย์แห่งหนึ่งที่สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงนายพลนโปเลียน เขาเป็นคนที่น่าเกรงขามในยุโรป ในช่วงท้ายของศตวรรษที่สิบแปดและต้นศตวรรษที่สิบเก้า ด้วยชัยชนะจากการต่อสู้ในสงครามและการพิชิตอันเลื่องลือจนเกือบครอบครองทั้งยุโรปให้อยู่ภายใต้การควบคุมของเขา ยกเว้นอังกฤษ นายพลผู้ทะเยอทะยานกำลังรื่นรมย์กับความคิดที่จะควบคุมโลกทั้งใบ บนอนุสาวรีย์ Arch of Triumph ที่กรุงปารีสนั้น มีข้อความที่เขียนเกี่ยวกับการต่อสู้ของนโปเลียนและชัยชนะที่ได้มา อย่างไรก็ตาม การต่อสู้ครั้งสำคัญเหตุการณ์หนึ่งไม่ได้บันทึกไว้ ใช่แล้ว มันเป็นการต่อสู้ครั้งประวัติศาสตร์ของยุทธการวอเตอร์ลู (Waterloo) มันไม่มีบันทึกอยู่ที่นั่น สถานการณ์เปลี่ยน ความทะเยอทะยานของเขา พังทลายเพราะการพ่ายแพ้ครั้งสำคัญนี้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงถูกเนรเทศและเสียชีวิตลง จะมีประโยชน์อันใดกับนโปเลียนที่ได้ครองโลกทั้งใบแต่ต้องพ่ายแพ้ที่วอเตอร์ลู? เกียรติ ชื่อเสียง และลาภยศของเขาหายไปในทันที ชัยชนะทั้งหมดในอดีตไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อเขาจากการพ่ายแพ้สงครามครั้งยิ่งใหญ่นี้ การพ่ายแพ้ในครั้งนี้ทำให้เขาสูญเสียทุกอย่าง แน่นอนว่าทุกดวงวิญญาณจะต้องเผชิญกับการต่อสู้ฝ่ายวิญญาณครั้งใหญ่ในชีวิต ผลของการต่อสู้มีความสำคัญยิ่ง ความพ่ายแพ้ที่วอเตอร์ลูทำให้นโปเลียนอับอายต่อชีวิตที่เหลือ ความพ่ายแพ้ในสงครามฝ่ายวิญญาณของคุณก็นำมาซึ่งความปวดร้าวตลอดกาล คุณนึกถึงผลที่ตามมาจากการเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางโดยปราศจากพระคริสต์หรือไม่? คุณกำลังพ่ายแพ้สงครามในชีวิตหรือไม่? คุณกำลังทำสงครามระหว่างความเป็นและความตายใช่ไหม? หรือเป็นสงครามระหว่างสวรรค์และนรก? เป็นสงครามต่อสู้ระหว่างการปฏิเสธตนเองและการรักตนเอง หรือระหว่างวิญญาณของคุณกับมาร? พระเยซูตรัสว่า “เพราะถ้าผู้ใดจะได้สิ่งของสิ้นทั้งโลก แต่ต้องสูญเสียจิตวิญญาณของตน ผู้นั้นจะได้ประโยชน์อะไร?” (มาระโก 8:36) ไม่ว่าเราจะครอบครองสิ่งทั้งปวงในโลกนี้มากมายแค่ไหนก็ตามแต่หากเราต้องสูญเสียจิตวิญญาณของเราไป มันเป็นสิ่งที่น่าเศร้าที่สุด จุดหมายนิรันดร์ของเราจะถูกปิดกั้น หลายคนไม่ทราบว่ามีสงครามฝ่ายวิญญาณที่ต้องต่อสู้ ซาตานและความมืดมิดของโลกปิดหูปิดตาความเข้าใจของพวกเขา พวกเขาหลับใหลต่อความเป็นจริงที่ว่ามีการต่อสู้กับความบาป พระคัมภีร์กล่าวว่า “คนที่หลับอยู่จงตื่นขึ้นและจงฟื้นขึ้นมาจากความตาย และพระคริสต์จะทรงส่องสว่างแก่ท่าน” (เอเฟซัส 5:14) จงสลัดโซ่ตรวนแห่งความบาปและซาตาน และต่อสู้จนถึงที่สุด! คุณไม่สามารถหนีความตายตามธรรมชาติได้ แต่คุณสามารถหลีกหนีความตายนิรันดร์ได้ “แล้วความตายและนรกก็ถูกผลักทิ้งลงไปในบึงไฟ” (วิวรณ์ 20:14) “ในที่นั้นตัวหนอนก็ไม่ตาย และไฟก็ไม่ดับเลย” (มาระโก 9:44) หากคุณพ่ายแพ้การต่อสู้เพื่อความรอดฝ่ายจิตวิญญาณของคุณ คุณก็จะพบกับการลงโทษและการทรมานนิรันดร์ในนรก
มีใครบ้างที่คิดถึงอนาคตโดยไม่คิดถึงชีวิตหลังความตายบ้าง? มนุษย์หนีไม่พ้นที่จะคิดถึงเรื่องสภาพหลังความตายแต่พวกเขาเลือกที่จะขจัดความคิดนี้ออกไปจากจิตใจ พวกเขายุ่งวุ่นวายกับสิ่งต่างๆ ในชีวิตนี้และปัดความคิดในเรื่องความตาย สวรรค์ และนรกไปให้ไกลตัว (มัทธิว 24:48, ปัญญาจารย์ 8:11) ในความเป็นจริงแล้วนี่เป็นสิ่งที่เราต้องเลือก การไม่ทำอะไรเลยหมายถึงการสูญเสียชั่วนิรันดร์ สง่าราศีของสวรรค์และความน่าสะพรึงกลัวของนรกทำให้เราเชื่อว่าการไปสวรรค์เป็นจุดหมายปลายทางนิรันดร์ของเรา เราก็คงเลือกทางนี้ถ้าเราตระหนักถึงรางวัลที่จะได้รับ แน่นอนว่าคนบาปจะไม่ได้เข้าสวรรค์ และผู้ที่ไม่แสวงหาการอภัยก็จะมีการลงโทษในนรกตลอดกาล “และพวกเหล่านี้จะต้องออกไปรับโทษอยู่เป็นนิตย์ แต่ผู้ชอบธรรมจะเข้าสู่ชีวิตนิรันดร์” (มัทธิว 25:46) สำหรับผู้ได้รับการไถ่หรือผู้ที่ได้รับการชำระด้วยพระโลหิตของพระคริสต์ สวรรค์เป็นสถานที่พิเศษ (วิวรณ์ 7:13-14) มันเป็นบ้าน ความปรารถนาในสวรรค์ของพวกเขาก็เหมือนกับความปรารถนาของผู้ประพันธ์เพลงสดุดีในพระธรรมสดุดี 63:1 ที่กล่าวว่า “จิตวิญญาณของข้าพระองค์กระหายหาพระองค์…ในดินแดนที่แห้งแล้งและกระหายน้ำ” สำหรับจิตใจที่เกาะเกี่ยวกับฝ่ายเนื้อหนังและหมกมุ่นกับทางโลก สวรรค์ดูเหมือนเป็นสถานที่ห่างไกล แต่สำหรับผู้ที่เกิดจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า สวรรค์อยู่ใกล้และมีอยู่จริง เขาได้รับบ้านอันเป็นนิรันดร์ของเขา พระคริสต์ได้ทรงแสดงให้เห็นว่า ความจริง ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความบริสุทธิ์ และความรักเป็นคุณธรรมที่มีค่าสำหรับลูกของพระเจ้า ขณะที่พระเจ้าประทานชีวิตให้แก่ผู้เชื่อด้วยความรักจากสวรรค์ พระองค์ทรงยังทรงซื่อสัตย์และถ่อมพระทัย พระทัยของพระองค์ปรารถนาเติมเต็มความบริบูรณ์และความบริสุทธิ์ในบ้านแห่งสวรรค์ (2 โครินธ์ 5:1) ชีวิตบนโลกใบนี้เต็มไปด้วยความมืดมนมากมาย เรามักพบเจอกับสิ่งที่เราไม่เข้าใจ เราพยายามที่จะมองไปยังอนาคต แต่ก็ไม่สามารถทำได้ ชีวิตของเรามักจะประสบกับความผิดหวังอยู่เสมอ ทั้งหมดนี้สามารถอธิบายได้ว่านั่นคือความมืด สวรรค์มีเพียงแสงสว่างและเป็นที่ที่พระเจ้าสถิตอยู่ “พระเจ้าทรงเป็นความสว่าง และไม่มีความมืดอยู่ในพระองค์เลย” (1 ยอห์น 1:5) ในความสว่างของพระองค์คือความเข้าใจอันบริบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นความรู้ อดีตและเหตุการณ์ทั้งหมดจะถูกทำให้ชัดเจนอย่างสมบูรณ์ ในความสว่างนี้จะเต็มไปด้วยการสามัคคีธรรมระหว่างพระบิดากับทุกคนที่อยู่ร่วมกับพระองค์ สวรรค์ถูกอธิบายว่าเป็น “มรดกของวิสุทธิชนในความสว่าง” (โคโลสี 1:12) คุณลักษณะของความสว่างที่ระบุไว้ในพระคัมภีร์คือความรู้ ความบริสุทธิ์ และความยินดี ความสว่างนี้จะคงอยู่ตลอดกาลไม่มีสะดุด ที่นั่นจะไม่มีกลางคืน (วิวรณ์ 21:25) “สิ่งใดที่เป็นมลทิน หรือผู้ใดก็ตามที่กระทำสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียน หรือพูดมุสาจะเข้าไปในเมืองไม่ได้เลย” (วิวรณ์ 21:27) ความท้อแท้ ความผิดหวัง การล่อลวง และบาปเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตทางโลก สิ่งเหล่านี้ไม่อาจเข้าไปในดินแดนที่สวยงามนั้น ในวิวรณ์ 21:4 กล่าวว่า “พระเจ้าจะทรงเช็ดน้ำตาทุกๆหยดจากตาของเขา ความตายจะไม่มีอีกต่อไป ความคร่ำครวญ การร้องไห้ และการเจ็บปวดจะไม่มีอีกต่อไป เพราะยุคเดิมนั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว” สำหรับคริสเตียน สวรรค์เป็นที่พักผ่อนที่สมบูรณ์ เป็นความสมบูรณ์ของการเดินทาง เขารู้ว่าแม้พระเจ้าจะทรงเช็ดน้ำตาบนแผ่นดินโลกแล้ว ความโศกเศร้าทั้งหมดจะถูกขจัดไปในสวรรค์อันบริบูรณ์ ความสัมพันธ์ของมนุษย์มีความสำคัญต่อเราบนโลกนี้ ความสุขและความทุกข์ของผู้อื่นมีผลต่ออารมณ์ของเรา ความผูกพันธ์ในครอบครัวมีความหมายและการพลัดพรากจากกันเป็นเรื่องที่เจ็บปวด ทั้งหมดนี้เป็นส่วนที่จำเป็นของสภาวะความเป็นมนุษย์ของเรา
คุณเคยคิดบ้างไหมว่า “ถ้าคุณสามารถเป็นอิสระอย่างสมบูรณ์แล้วคุณจะมีความสุข มีความสงบสุข?” หลายคนแสวงหาเสรีภาพที่สมบูรณ์เพื่อความสุขและความสงบสุข ผู้คนปรารถนาที่จะเป็นอิสระจากสิ่งยึดเหนี่ยวทุกอย่าง โดยเชื่อว่าหากได้ทำตามที่ใจต้องการแล้วมันจะนำมาซึ่งความสุข นั่นทำได้จริงหรือ? บรรยากาศเสียงหัวเราะและไร้ความกังวลท่ามกลางแสงสีเสียงในคลับบาร์ดึงดูดใจหลายคนให้คิดว่าที่นั่นเต็มไปด้วยความสุข คนหนุ่มสาวให้ความสำคัญกับซิกแพคหน้าท้อง บุหรี่ รถยนต์ และการดื่มด่ำกับมิตรสหายทั้งคืนรู้สึกมั่นใจว่ามีความสุข การให้คุณค่ากับสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ให้ความสงบและความสุขตามที่ผู้คนแสวงหา กัญชา ยาหลอนประสาท และแคร็ก (สารเสพติดโคเคนประเภทหนึ่ง) ทำให้เกิดอาการเมาเคลิบเคลิ้มอย่างน่าอัศจรรย์ แน่นอน เราคิดว่าสิ่งนี้จะนำมาซึ่งความสุข พร้อมกับความสงบสุขด้วย มันทำได้จริงหรือ? ดนตรีสมัยใหม่ที่แทรกซึมเข้าสู่จิตใจและร่างกาย ทำงานร่วมกับแอลกอฮอล์และยาเสพติดเพื่อให้เกิดอาการเคลิบเคลิ้มมากยิ่งขึ้น สิ่งนี้ไม่ได้นำมาซึ่งความสุขที่แท้จริงเช่นกัน การตามใจตนเองในเรื่องทางเพศตามราคะตัณหาของมนุษย์ โดยไม่มีการยับยั้งชั่งใจเพื่อเติมเต็มความปรารถนา นำมาแต่ความว่างเปล่าและความผิดหวัง ไม่เลย…คุณไม่อาจพบความสุขได้ ในยุคสมัยของเรา นอกจากความคิดอย่างนี้แล้วหลายคนยังมีความคิดในด้านอื่นๆ อีกเช่น การมีอิสระในการทำสิ่งที่อยากจะทำ ความเชื่อที่ว่าไม่ควรมีกฎหมาย ไม่ควรตีตรา และต่อต้านผู้ที่แสวงหาความสุขและความสงบสุข มันเป็นความคิดว่าเสรีภาพควรนำมาซึ่งความสงบสุขและความสุข ความสุขมักจะพบได้ในสิ่งที่พวกเขาสนับสนุน แน่นอนเราคิดว่าถ้าเราเพียงแค่แสวงหาความสุขเท่านั้นเราไม่ต้องรับผิดชอบต่อผลที่เรากระทำ เรารู้สึกว่าเราสมควรมีสิทธิ์ได้รับ “ความสุข” อย่างยุติธรรม เมื่อคำนึงถึงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการตามใจตัวเองดังกล่าว จึงมักจะมีคำเตือนยอดฮิตออกมาเช่น อย่าดื่มสุราขณะขับรถ, ยาเสพติดเป็นภัยต่อชีวิต, มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย, มีลูกเมื่อพร้อม เป็นต้น คำแนะนำเหล่านี้ไม่ใช่วิธีแก้ไข หากความสุขหาได้เช่นแล้ว จะรู้สึกเหงาในบาร์ที่คนพลุกพล่านทำไม? ทำไมรู้สึกหดหู่หลังจากรู้สึกเบิกบาน? ทำไมรู้สึกหงุดหงิดหลังจากดื่มด่ำกับมันละ? ทำไมเกิดความรู้สึกผิดหวังหลังจากความสัมพันธ์แตกหัก ถ้าการทำตามใจตนเองนำมาซึ่งความสุขและความสงบ เหตุใดสิ่งเหล่านี้จึงดูเหมือนอยู่เหนือความเข้าใจของเราเสมอ เหตุใดจึงมีปัญหามากมายและเหตุใดชีวิตจึงดูว่างเปล่า? การตามใจตัวเองไม่ใช่เสรีภาพที่แท้จริง มันจะไม่นำมาซึ่งความสุขหรือความสงบสุข การตามใจตัวเองเป็นบาปเพราะเป็นการรับใช้ตนเองแทนการรับใช้พระเจ้า พระเยซูตรัสในมัทธิว 11:28-29 ว่า “บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนักจงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลายหายเหนื่อยเป็นสุข จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเรามีใจอ่อนสุภาพและถ่อมลง และท่านทั้งหลายจะพบที่สงบสุขในใจของตน” แล้วคุณละ คุณเป็นอย่างไรบ้าง? คุณรู้สึกไม่สบายใจและมีปัญหาหรือไม่? ปัญหาในโลกและความสัมพันธ์ของคุณทำให้คุณกังวล รู้สึกผิด และกลัวหรือไม่? บางครั้งคุณสงสัยว่ามีใครรักและห่วงใยคุณจริงๆ หรือเปล่า? จงมั่นใจว่าพระเจ้ารักคุณ พระองค์สนใจอย่างยิ่งอยากให้คุณพบความสงบ อิสรภาพ และความสุข สันติสุขที่แท้จริงไม่ได้มาจากการปล่อยตัวปล่อยใจมากขึ้น แต่เป็นการยอมแพ้ในตัวเอง การยอมจำนนต่อพระเจ้าและวางใจในพระองค์ที่จะนำการพักผ่อนมาสู่จิตวิญญาณของคุณ พระเยซูตรัสว่า “เรามอบสันติสุขไว้ให้แก่ท่านแล้ว สันติสุขของเราที่ให้แก่ท่านนั้น เราให้ท่านไม่เหมือนโลกให้ " (ยอห์น 14:27)
จอห์น ดับบลิว เรย์โนลส์
เรื่องราวเกี่ยวกับการกู้ชีพที่น่าสนใจที่สุดเรื่องหนึ่งที่ผมรู้ก็คือเรื่องของจอร์จ เลนน็อกซ์ โจรขโมยม้าผู้อื้อฉาวแห่งเจฟเฟอร์สันเคาน์ตี้ เขากำลังรับโทษเป็นครั้งที่สอง ครั้งแรกเขาถูกจับเข้าคุกที่เซดก์วิกเคาน์ตี้ข้อหาโขมยม้าเช่นเดียวกัน
ในช่วงฤดูหนาวปี 1887 และ 1888 เขาทำงานในเหมืองถ่านหิน เขาเห็นว่าสถานที่เขาทำงานอยู่นั้นดูไม่ปลอดภัย เขารายงานเรื่องนี้ต่อเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบให้ทำการตรวจสอบ หลังจากตรวจสอบและลงความเห็นว่าพื้นที่นั้นปลอดภัย เจ้าหน้าที่จึงสั่งให้เลนน็อกซ์กลับเข้าไปทำงาน เขากลับเข้าไปอย่างเชื่อฟัง แต่หลังจากนั้นไม่ถึงชั่วโมง เพดานได้ร่วงหล่นลงมาฝังร่างของเขา เขาอยู่ในสภาพนั้นถึงสองชั่วโมงเต็ม
ในเวลานี้คุณยังมีชีวิตอยู่ คุณหายใจ เคลื่อนไหวหรือทำงาน คุณอาจใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายหรืออยู่ในความทุกข์ยาก มีพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตก มีเด็กกำลังเกิดที่ไหนสักแห่ง แต่ก็มีใครบางคนกำลังจะตายอยู่สักที่เสมอ ทุกชีวิตเป็นเพียง การจัดเตรียมชั่วคราวเท่านั้น แต่ว่า หลังจากตายแล้ว คุณจะไปไหน? ไม่ว่าคุณจะนับถือศาสนาอะไร หรือไม่เชื่อในศาสนาใด ๆ ก็ตาม คุณยังคงต้องตอบคำถามที่สำคัญเหล่านี้ เพราะหลังจากชีวิตบนโลกอันแสนสั้นสิ้นสุดลง มนุษย์ต้องเข้าสู่จุดหมายปลายทางอันเป็นนิรันดร์ของตน (ปัญญาจารย์ 12:5) ที่ไหนละ? สุสานที่คุณจะถูกฝังไม่สามารถฝังจิตวิญญาณของคุณได้ แม้ว่าร่างกายของคุณจะถูกเผาที่กองเพลิง แต่ก็ไม่สามารถกลืนกินจิตวิญญาณของคุณได้ หากคุณเสียชีวิตในทะเลลึก จิตวิญญาณของคุณก็จะไม่จมน้ำตาย วิญญาณของคุณจะไม่มีวันตาย! พระเจ้าแห่งสวรรค์และโลก ได้ตรัสว่า “วิญญาณทั้งหมดเป็นของเรา” ในปรโลกจิตวิญญาณของคุณ ซึ่งเป็น “ตัวจริง” ของคุณจะต้องเผชิญกับการกระทำที่คุณได้ทำไปในขณะที่ยังมีชีวิตไม่ว่าจะทำดีหรือไม่ดี – อ้างถึง ฮีบรู 9:27 คุณอาจนมัสการด้วยความจริงใจ คุณอาจรู้สึกเสียใจกับการกระทำที่ไม่ดีของคุณ คุณอาจซ่อมแซมสิ่งที่ถูกขโมย แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็น— แต่- คุณไม่สามารถชดใช้บาปของคุณเองได้ พระเจ้าแห่งสวรรค์ ผู้พิพากษาที่ชอบธรรมของโลกทรงรู้ความบาปและชีวิตของคุณ ไม่มีอะไรซ่อนเร้นจากพระองค์ คุณที่มีบาปไม่สามารถเข้าสู่ความสุขและสิริของโลกอนาคตได้ แต่พระเจ้าบนสวรรค์องค์เดียวกันนี้เป็นพระเจ้าแห่งความรัก พระองค์ทรงออกแบบวิธีการไถ่ชีวิตและจิตวิญญาณของคุณ คุณจะไม่ถูกโยนลงไปในความหายนะและไฟนรกอันเป็นนิรันดร์ พระเจ้าส่งพระเยซูเข้ามาในโลกนี้เพื่อช่วยจิตวิญญาณของคุณ พระเยซูรับบาปของคุณไว้กับพระองค์เมื่อพระองค์ทนทุกข์และสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน พระเจ้าประทานสวรรค์ที่ดีที่สุดเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปของคุณ “แต่ท่านถูกบาดเจ็บเพราะความละเมิดของเราทั้งหลาย ท่านฟกช้ำเพราะความชั่วช้าของเรา การตีสอนอันทำให้เราทั้งหลายปลอดภัยนั้นตกแก่ท่าน ที่ต้องฟกช้ำนั้นก็ให้เราหายดี” (อิสยาห์ 53:5) ถ้อยคำเหล่านี้พยากรณ์เกี่ยวกับพระเยซูไว้หลายปีก่อนที่พระองค์จะเสด็จมาบนโลก คุณจะเชื่อไหมว่าพระเยซูรักคุณ? คุณจะอธิษฐานและสารภาพบาปต่อพระองค์หรือไม่? คุณจะกลับใจและเชื่อในพระเยซู พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่หรือไม่? พระองค์จะทรงนำสันติสุขมาสู่จิตวิญญาณของคุณและประทานชีวิตอันรุ่งโรจน์หลังความตายแก่คุณ เพียงเท่านี้คุณก็สามารมั่นใจได้ว่าคุณจะมีบ้านนิรันดร์ที่เต็มไปด้วยสันติสุขความชื่นชมยินดีและการปลอบโยนสำหรับจิตวิญญาณของคุณ แต่ว่า! หลุมแห่งความหายนะและไฟที่ไม่สิ้นสุดกำลังรอผู้ที่ปฏิเสธความรักแห่งการไถ่ของพระเยซูขณะที่ยังมีชีวิต จะไม่มีการหันกลับหรือความช่วยเหลือหลังความตาย “แล้วพระองค์จะตรัสกับบรรดาผู้ที่อยู่เบื้องซ้ายพระหัตถ์ด้วยว่า ‘ท่านทั้งหลาย ผู้ต้องสาปแช่ง จงถอยไปจากเราเข้าไปอยู่ในไฟซึ่งไหม้อยู่เป็นนิตย์ ซึ่งเตรียมไว้สำหรับพญามารและสมุนของมันนั้น” (มัทธิว 25:41) “จงเอาเจ้าผู้รับใช้ที่ไร้ประโยชน์นี้ไปทิ้งเสียที่มืดภายนอก ซึ่งที่นั่นจะมีการร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน” (มัทธิว 25:30) ในพระคัมภีร์ พระเจ้าได้เตือนถึงการพิพากษาครั้งสุดท้ายของทั้งโลกที่กำลังจะเกิดขึ้น ในพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ มีคำทำนายว่าก่อนวันพิพากษาจะเกิดขึ้น จะมีหมายสำคัญที่ชัดเจนและเด่นชัด ก่อนที่พระองค์จะเสด็จมา จะมีสงครามและข่าวลือเรื่องสงคราม ความทุกข์ยาก และความฉงนสนเท่ห์ของประชาชาติ ชาติต่างๆ จะต่อสู้กันเองและดูเหมือนจะไม่มีทางแก้ไขทัศนคติและความคิดเห็นที่แตกต่างกันได้