แทร็กต์
พลังแห่งความมืด
ยุทธวิธีของซาตานที่ปรากฏในพระวจนะของพระเจ้า พระคัมภีร์ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายที่จะให้ความสำคัญกับซานตานและงานของมัน แต่เรามักจะเห็นลักษณะและงานของมันที่ปรากฏและเปิดเผยให้เห็นในพระคัมภีร์ ครั้งหนึ่งซาตานเคยเป็นทูตสวรรค์ แต่มันหันหลังให้กับพระเจ้าผู้สร้างมัน และต้องการเป็นเหมือนพระองค์ กิจวัตรของอาณาจักรแห่งความมืดของซาตานไม่ใช่เรื่องใหม่ สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องปกติของความพยายามของมันตลอดยุคสมัยที่จะแข่งขันกับอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า มันกำลังเสนอทางเลือกอื่นที่มันคิดว่าประสบผลสำเร็จแทนสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำโดยฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในพระธรรมอพยพ เราได้เห็นถึงอำนาจของนักมายากลแห่งอียิปต์ที่พยายามถอดแบบการอัศจรรย์ที่พระเจ้าทำผ่านมือของโมเสส ในหนังสือโยบ ซาตานแสดงความริษยาในความสัตย์ซื่อของโยบที่มีต่อพระเจ้า มันใช้ความโหดร้ายและกีดกัน พยายามบังคับให้โยบหันหลังให้พระเจ้า วิธีการของซาตานมีลักษณะดังนี้ คือ ใช้ความกลัว การคุกคาม การสัญญาว่าจะให้ความสุขหรืออำนาจ การข่มขู่ และความสงสัย สิ่งแรกๆ ที่มันแนะนำดูน่าสนใจและน่าทึ่ง มันแนะนำว่า “คุณอยากรู้อนาคตหรือเข้าใจในสิ่งที่คนอื่นทำไม่ได้ไหม?” มันอาจเสนอวิธีรักษาที่อยู่เหนือขอบเขตของวิทยาศาสตร์ เรื่องของโหราศาสตร์หรือการดูดวงอาจดูไม่มีพิษมีภัยแต่ในไม่ช้ามันก็จะตามมาด้วยมนต์ขลังหรือคาถา การดูฤกษ์ยามหรือเลขอัปมงคล มันแนะนำว่ามีวิญญาณบางดวงที่ต้องให้ความเคารพและเกรงกลัวเพราะมีพลังเหนือเรา ดังนั้นซาตานจึงดักผู้ไม่ระวังภัยให้อยู่ในห้วงแห่งความกลัวมันและสมุนของมัน มีคนจำนวนมากที่จมอยู่กับความอยากรู้อยากเห็นในสิ่งที่ตอนแรกดูเหมือนไม่ค่อยมีพิษมีภัย เช่นการเล่นผีถ้วยแก้ว ดูดวง ดูลายมือและอื่นๆ อีกมากมาย พวกเขาทำให้ตัวเองเสี่ยงต่อวิญญาณชั่วร้ายที่จะสร้างปัญหาให้กับพวกเขาในภายหลัง เป้าหมายของซาตานคือการกัดเซาะและทำลายความเชื่อในพระเจ้าของคริสเตียน คริสเตียนประสบชัยชนะโดยการมีความเชื่อในพระคริสต์และในพระองค์เท่านั้น ความปรารถนาที่จะรู้ในสิ่งที่ไม่รู้หรือกระหายหาอำนาจกระตุ้นให้คนอยากลองสิ่งที่เป็นของอาณาจักรซาตาน ความไว้วางใจในพระเจ้าทำให้คนเราสงบนิ่งกับสิ่งที่ไม่รู้จัก และมั่นใจในฤทธิ์อำนาจของพระคริสต์ เมื่อเริ่มต้นจากความอยากรู้อยากลอง ในไม่ช้าคนผู้นั้นก็จะติดกับดักแห่งความกลัว กลัวสิ่งที่อาจเกิดขึ้น กลัวอำนาจที่ใหญ่กว่า กลัวคนอื่นๆ แม้กระทั่งกลัวซาตานเอง ความกลัวเหล่านี้ปกคลุมบุคคลที่ยอมให้ตนเองเข้าไปพัวพันกับการกระทำที่คลุมเครือ เพื่อตอบสนองต่อความกลัวนี้ ซาตานอ้างว่ามียาแก้พิษ มันจะให้อำนาจมากขึ้นถ้าผู้นั้นยอมจำนนต่อพิธีกรรมบางอย่างหรือการเชื่อฟังอื่น ๆ ความกลัววิญญาณอื่นสามารถรับมือได้ด้วยการครอบครองหรือมีพลังที่ยิ่งใหญ่กว่า ดังนั้น บุคคลนั้นจึงได้รับการนำเสนอพลังอำนาจที่มีระดับสูงมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง แทนที่จะทำให้บุคคลนั้นเข้าถึงความสงบในระดับที่มากขึ้นกลับทำให้เกิดการวกเวียนลงไปสู่ส่วนลึกของสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนของซาตานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ความมั่นคงปลอดภัยที่ยากเกินเข้าใจที่ซาตานสัญญาไว้นั้นถูกแทนที่ด้วยความต้องการในการปกป้องจากอำนาจที่สูงกว่าในอาณาจักรที่ชั่วร้าย นี่คือระบบของซาตาน แผนของซาตานคือการแทนที่พระเจ้า ซาตานถูกสร้างมาเพื่อบูชา ไม่ใช่เพื่อรับการบูชา มันไม่ใช่อำนาจสูงสุด มันไม่สามารถเอาชนะพระเมษโปดกของพระเจ้าได้ มันไม่สามารถให้ความปลอดภัย มันไม่สนใจความเป็นอยู่ที่ดีของเรา อย่างไรก็ตาม มันยังคงทำงานอย่างต่อเนื่องโดยใช้อำนาจเหนือผู้คนเพื่อนำพวกเขามาอยู่ใต้อำนาจของมัน มันพยายามสร้างความไม่ไว้วางใจต่อพระเจ้าและอาณาจักรของพระองค์ มันพยายามที่จะจัดตั้งองค์กรที่ตัวมันเป็นเจ้านาย สิ่งนี้ถูกพัฒนาผ่านความกลัวอย่างเป็นระบบและอำนาจที่เป็นภาพลวงตา มันทำการอัศจรรย์เพื่อสร้างความน่าเกรงขามในใจของผู้คน (2 โครินธ์ 11:14-15) ผลกระทบของระบบนี้คือการทำลายสันติภาพและความมั่นคงของบุคคล ครอบครัว และการปกครอง มันจับผู้คน ทำให้พวกเขารู้สึกถูกคุกคามหากพวกเขาพยายามหลบหนี ซาตานเป็นศัตรูที่รุนแรงที่สุด ร้ายกาจที่สุด ชั่วร้ายที่สุด และน่ากลัวที่สุดที่คุณมี มันไร้เกียรติโดยสิ้นเชิง โกหกและไม่มีความจริงในตัวของมัน - “มันเป็นผู้มุสา และเป็นพ่อของการมุสา” (ยอห์น 8:44) มันเป็นฆาตกร ผู้ทำลาย เป็นศูนย์รวมของความเกลียดชังและความชั่วร้าย เป็นคนชั่วอย่างที่สุดและตลอดไปโดยไม่มีความดีใด ๆ เลย อ่านเพิ่มเติม: โรม 8:1-2……………อิสระจากการกล่าวโทษ
เพื่อนสำหรับคุณ
พระเยซู เพื่อนของคุณ ฉันอยากจะเล่าเรื่องราวของพระองค์ให้คุณฟัง เรามาอ่านเรื่องนี้ในพระคัมภีร์กัน พระคัมภีร์เป็นความจริงและ เป็นพระคำของพระเจ้า พระเจ้าคือผู้สร้างโลกและทุกสิ่งบนโลกใบนี้ พระองค์ทรงเป็นเจ้าแห่งสวรรค์และโลก พระองค์ประทานชีวิตและลมหายใจให้กับทุกสิ่ง พระเยซูเสด็จมาบนโลกตั้งแต่ยังเป็นทารกน้อย พ่อและแม่บนแผ่นดินโลกของพระองค์คือโยเซฟและมารีย์ พระองค์เกิดในโรงวัวและนอนในรางหญ้า บางคนไม่ได้รักพระเยซู พวกเขาอิจฉาและถึงกับเกลียดชังพระองค์ พวกเขาเกลียดชังพระองค์มากจนอยากจะฆ่าพระองค์ ในวันที่น่ากลัวพวกเขาฆ่าพระเยซูโดยตรึงพระองค์ไว้ที่ไม้กางเขน พระองค์ไม่ได้ทำผิดอะไร พระองค์ต้องตายแทนเราเพราะคุณกับฉันทำผิด วันนี้พระองค์สามารถได้ยินได้เห็นคุณ พระองค์รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับคุณและห่วงใยคุณ เพียงมาหาพระองค์ในคำอธิษฐาน บอกพระองค์ในทุกปัญหาของคุณ พระองค์พร้อมที่จะช่วยเหลือคุณ คุณสามารถก้มศีรษะและพูดคุยกับพระองค์ได้ทุกที่ทุกเวลา พระองค์จะกลับมาอีกในไม่ช้า! และพระองค์จะนำบรรดาผู้ที่เชื่อในพระองค์กลับไปยังบ้านที่อยู่บนสวรรค์
ยอห์น 10:1-18 คุณเคยได้ยินใครเรียกชื่อคุณแต่ไม่รู้ว่าเสียงมาจากไหนหรือไม่? หรือบางทีคุณแทบจะไม่ได้ยินเสียงเลย เพราะมีเสียงรบกวนรอบข้างมากเกินไป ฟังสิ มีเสียงเรียกคุณอยู่นะ! คุณคือใคร? คุณชื่ออะไร? คุณมาจากที่ไหน? คุณอาศัยอยู่ที่ไหน? คุณกำลังจะไปไหน? คุณรู้จักชื่อหมู่บ้านของคุณ บางทีคุณอาจไม่เคยไปที่อื่นเลย แต่คุณรู้ว่าหมู่บ้านของคุณเป็นส่วนหนึ่งของประเทศ และประเทศต่างๆ ก็เป็นส่วนหนึ่งของโลกใบใหญ่ พระคัมภีร์ เกือบ 6,000 ปีที่แล้วเมื่อโลกถูกสร้างขึ้น มันถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้า พระเจ้ามีหนังสือเล่มหนึ่งที่เรียกว่าพระคัมภีร์ ซึ่งบอกเรื่องราวการสร้างโลกของพระเจ้า และการสร้างมนุษย์ชายหญิงคู่แรก พระเจ้าได้สร้างมนุษย์ตามแบบอย่างของพระองค์ จากนั้นก็เกิดลูกหลาน ผู้คนเริ่มมีการเกิด และตายตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา คุณเกิดมาจากพ่อแม่แต่ที่จริงแล้วพระเจ้าเป็นผู้สร้างคุณมา พระองค์สร้างทุกสิ่ง คุณเคยคิดไหมว่าพระเจ้าสร้างทุกสิ่งอย่างน่าอัศจรรย์และพระองค์ทรงสร้างคุณอย่างไร? พ่อแม่ของคุณตั้งชื่อให้คุณ พระเจ้ารู้จักชื่อของคุณ พระองค์รู้จักชื่อของทุกคนไม่ว่าจะเป็นภาษาไหน พระองค์ทรงรู้ทุกสิ่ง เพราะพระเจ้าสร้างเรา พระองค์รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเรา พระองค์ทรงรักเราเพราะเราเป็นของพระองค์ พระองค์ทรงเป็นพระบิดาในสวรรค์ของเรา และพระองค์ทรงห่วงใยเรามากกว่าพ่อแม่ของเราเอง พระเจ้า พระเจ้าทรงเป็นอยู่เสมอ ทรงมีชีวิตนิรันดร์ ดังนั้นเมื่อพระองค์ใส่ลมปราณของพระองค์ในตัวเรา ก็ทำให้เรามีชีวิตตลอดไปเช่นกัน เปล่า…ไม่ใช่ร่างกายที่ต้องตายของเราแต่เป็นวิญญาณในตัวเราที่มีชีวิตอยู่ตลอดไป คุณรู้จักพระเจ้าไหม? บางทีคุณอาจถามว่า “พระเจ้าคือใคร? พระองค์อยู่ที่ไหน?" คุณต้องการที่จะรู้จริงๆ หรือ? ใช่แล้ว… คุณต้องการ ในใจลึกๆ ของคุณต้องการรู้จักพระองค์ คุณไม่เคยเห็นพระเจ้าใช่ไหม? ไม่เคย… แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพระองค์ไม่มีตัวตน มีพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น ไม่มีพื้นที่สำหรับพระอื่นใด เพราะผู้ที่เป็นพระเจ้าจริงๆ นั้นครอบครองสวรรค์และโลก พระองค์อยู่ทุกหนแห่งในเวลาเดียวกัน บ้านของพระเจ้าคือสวรรค์ซึ่งเป็นสถานที่สวยงาม แต่พระองค์ก็ทรงสถิตอยู่ในใจของผู้คนที่เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์ด้วย ฉันจะเรียนรู้ที่จะรู้จักพระเจ้าได้อย่างไร? นั่นคือคำถามที่คุณกำลังถามใช่ไหม? พระเจ้ามีแผนการณ์อันยอดเยี่ยมที่จะแสดงให้เราเห็นว่าเราจะรู้จักพระองค์ได้อย่างไร พระเจ้าส่งพระเยซูพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ลงมาจากสวรรค์เพื่อแสดงให้ผู้คนเห็นว่าพระองค์เป็นผู้ใดและพระองค์เป็นอย่างไร พระเจ้าและพระเยซูเป็นหนึ่งเดียวกัน โดยปาฏิหาริย์ของพระเจ้า พระบุตรของพระเจ้าได้ประสูติเป็นทารกและเติบโตเป็นผู้ใหญ่ หลังจากนั้นในช่วงเวลาสามปี พระเยซูทรงบอกเล่าให้ผู้คนให้เห็นถึงความรักของพระเจ้า พระบิดาของพระองค์ พระองค์บอกพวกเขาว่าพระเจ้าทรงบริสุทธิ์และทนเห็นความบาปไม่ได้ จากนั้นพระเจ้าได้ทรงสร้างหนทางให้เรารอดจากบาปของเรา พระองค์ปล่อยให้พระเยซูพระบุตรของพระองค์ถูกตรึงไว้ที่กางเขนโดยคนชั่ว พระองค์ทรงสละพระชนม์ชีพ ความรักของพระองค์ยิ่งใหญ่มาก! พระองค์ทรงเป็นเครื่องบูชาที่สามารถชดใช้ความบาปของคนทั้งโลกได้ บาปทุกอย่างที่คุณเคยทำ บาปทุกอย่างของเด็กๆ รวมทั้งชายหญิงทุกคน พระเยซูยังอยู่บนไม้กางเขนใช่ไหม? พระเยซูยังอยู่ในอุโมงค์ใช่ไหม? ไม่เลย ผ่านไปสามวันพระองค์ทรงฟื้นคืนพระชนม์อย่างมีชัยชนะ จากนั้นพระองค์ได้กลับไปสวรรค์และรอจนกว่าพระเจ้าตรัสว่าโลกจะถึงจุดจบ แล้วพระองค์จะทรงเป็นผู้พิพากษาที่ชอบธรรมของคนทั้งปวง คนแปลกหน้า..เสียงของคนอื่น ก่อนที่มันจะเป็นศัตรูกับพระเจ้า มันเคยเป็นทูตสวรรค์ที่ดีอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ แต่มันกลับภาคภูมิใจและยกตัวเองขึ้นต่อสู้กับพระเจ้า มันต่อสู้กับพระเจ้าและมีทูตสวรรค์มากมายเข้าร่วมกับมัน พระเจ้าชนะเพราะพระองค์ทรงมีฤทธิอำนาจสูงสุด พระองค์จึงทรงไล่ขับซาตานและสมุนทั้งหมดออกจากสวรรค์ ซาตานเกลียดชังพระเจ้าในเรื่องนี้
เรื่องดีที่สุดที่ควรรู้
แรกเริ่มเดิมที ไม่มีอะไรในโลกนี้ ไม่มีปลา ไม่มีดวงดาวบนท้องฟ้า ไม่มีทะเลและดอกไม้ที่สวยงาม ทั้งหมดว่างเปล่าและมืดมิด แต่มีพระเจ้า พระเจ้ามีแผนการที่ยอดเยี่ยม พระองค์คิดถึงโลกที่สวยงาม และในขณะที่พระองค์คิด พระองค์ทรงสร้างมันขึ้นมา พระองค์สร้างทั้งหมดจากความว่างเปล่า เมื่อพระเจ้าสร้างสิ่งใด พระองค์เพียงตรัสว่า “จงเกิดขึ้นมา” และมันก็เป็นไปตามนั้น! พระองค์ทรงสร้างแสงสว่าง ทรงสร้างแม่น้ำและทะเล แผ่นดินที่มีหญ้าปกคลุม สัตว์ต่างๆ นกและต้นไม้ สุดท้าย พระองค์ทรงสร้างผู้ชาย แล้วทรงสร้างภรรยาให้ชายนั้น ชื่อของพวกเขาคืออาดัมและเอวา พระเจ้าทรงรักพวกเขามาก ทุกเย็นพระองค์เสด็จเยี่ยมพวกเขาในสวนที่พวกเขาอาศัยอยู่ สวนทั้งสวนเป็นที่สำหรับพวกเขา ยกเว้นต้นไม้ต้นหนึ่ง ซึ่งเป็นต้นไม้ต้องห้ามของพระเจ้า อาดัมและเอวามีความสุขมาก จนวันหนึ่งซาตานซึ่งเป็นศัตรูของพระเจ้ามาทดลองพวกเขา พวกเขาตัดสินใจชิมผลของต้นไม้ต้องห้ามของพระเจ้า พวกเขาทำบาป และเป็นครั้งแรกที่พวกเขารู้สึกละอายและเศร้าใจ พวกเขาไม่สามารถพูดคุยกับพระเจ้าได้อีกต่อไป ตอนนี้พวกเขาเจ็บปวดและลำบาก และพวกเขาจะต้องตาย พวกเขาเสียใจแค่ไหน! พระเจ้าสัญญาว่าจะช่วยพวกเขา เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม พระองค์จะทรงส่งพระบุตรของพระองค์เข้ามาในโลก พระเยซูจะเสด็จลงมาจากสวรรค์และหาวิธีให้บาปได้รับการอภัย การทำเช่นนี้พระองค์จะต้องทรงทนทุกข์และสิ้นพระชนม์เพื่อมนุษยชาติ พวกเขาดีใจมากที่พระเจ้าส่งพระผู้ช่วยให้รอดมาให้พวกเขา! อาดัมและเอวามีลูกหลาน และผู้คนมากมายอาศัยอยู่ในโลก พระเจ้าต้องการให้ทุกคนมีความสุข พระองค์บอกพวกเขาว่าต้องทำอย่างไร นี่คือกฎเกณฑ์ที่พระเจ้ามอบให้พวกเขา: สิ่งเหล่านี้เขียนไว้ในพระคัมภีร์เพื่อให้เราสามารถอ่านได้ ถ้าเราเชื่อฟังเราจะมีความสุข ซาตานไม่ต้องการให้เราเชื่อฟังบทบัญญัติเหล่านี้ บางครั้งมันบอกเราให้ขโมยของขณะที่คนเผลอ แต่พระเจ้ารู้ดี พระเจ้าเห็นทุกสิ่ง บางครั้งซาตานล่อลวงให้เราโกหกและทำให้เราคิดว่าจะไม่มีใครรู้เรื่องนี้ แต่พระเจ้ารู้ดี พระองค์ได้ยินทุกอย่าง เมื่อเราทำสิ่งเหล่านี้ ภายในใจของเราจะรู้สึกแย่ พระเจ้ารักเราและต้องการช่วยให้เราเป็นคนดี นั่นเป็นเหตุผลที่พระองค์ทรงส่งพระเยซูเข้ามาในโลก พระเจ้าจดจำพระสัญญาของพระองค์ ผ่านไปหลายปีพระเยซูประสูติเป็นทารกน้อย พระองค์เติบโตและเป็นผู้ใหญ่ พระองค์ทรงทำสิ่งอัศจรรย์มากมาย พระองค์รักษาคนป่วย พระองค์ทรงทำให้คนตาบอดมองเห็น พระองค์ทรงอวยพรเด็กๆ พระเยซูไม่เคยทำอะไรผิด พระองค์บอกผู้คนเกี่ยวกับพระเจ้าและวิธีเชื่อฟังพระองค์ ไม่นานศัตรูของพระเยซูก็ตรึงพระองค์ที่ไม้กางเขนจนสิ้นพระชนม์ พระองค์ทรงทนทุกข์และสิ้นพระชนม์เพื่อบาปของคนทั้งปวง แม้แต่คนที่ตรึงพระองค์ไว้ที่กางเขน พระเยซูถูกฝัง แต่แล้วสิ่งมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้น พระองค์ไม่ได้อยู่ในหลุมฝังศพ พระองค์ฟื้นจากความตาย! หลังจากนั้นไม่นาน พระเจ้าก็พาพระองค์กลับสวรรค์ท่ามกลางหมู่เมฆ ขณะที่เพื่อนๆ ของพระองค์มองดูพระองค์จากไป ทูตสวรรค์บอกพวกเขาว่าพระเยซูจะเสด็จกลับมาอีกครั้ง พระเยซูสิ้นพระชนม์เพื่อบาปของเราเช่นกัน พระองค์ทรงต้องการให้เราเสียใจและสารภาพบาปของเรา พระองค์พร้อมที่จะให้อภัยเรา เราสามารถอธิษฐานต่อพระเจ้าได้ตลอดเวลา พระองค์ได้ยินทุกคำและรู้ทุกความคิด พระองค์ทำให้เรารู้สึกมีความสุขภายในเมื่อบาปของเราได้รับการอภัย แล้วเราอยากจะทำในสิ่งที่ถูกต้อง และอยากทำดี เราอาจเลือกที่จะไม่เชื่อฟังพระเจ้าและติดตามซาตาน แต่พระวจนะของพระเจ้าบอกว่าถ้าเราปฏิเสธพระองค์ในชีวิตนี้ พระองค์จะทรงโยนเราลงนรก นรกเป็นสถานที่แห่งไฟที่เผาไหม้ตลอดกาล
ศาสนาคริสต์คืออะไร?
ศาสนาคริสต์มีพื้นฐานมาจากพระเจ้า พระเยซูคริสต์ซึ่งเป็นพระบุตรของพระเจ้า และพระคัมภีร์ซึ่งเป็นพระวจนะของพระเจ้า คริสเตียนคือผู้ที่เชื่อพระคัมภีร์และดำเนินชีวิตตามคำสอนของพระเยซูคริสต์ วิถีชีวิตนี้นำสันติสุขและความพึงพอใจมาสู่โลกนี้และเตรียมเราให้พร้อมสำหรับบ้านในสวรรค์ พระเจ้าพระบิดา พระคัมภีร์สอนว่ามีเพียงพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้นที่เป็นมาโดยตลอดและจะเป็นตลอดไป พระเจ้าทรงรู้ทุกสิ่ง สติปัญญาและความรู้ของพระองค์นั้นไร้ขีดจำกัด พระคัมภีร์กล่าวไว้ในสุภาษิต 15:3 ว่า “พระเนตรของพระเยโฮวาห์อยู่ในทุกแห่งหน ทรงเฝ้าดูคนชั่วและคนดี” พระองค์อยู่ทุกที่และให้ความสนใจกับทุกคนในโลกอย่างเต็มที่ในเวลาเดียวกัน เราสามารถอธิษฐานถึงพระเจ้าได้จากทุกที่และทุกเวลา พระองค์ทรงฟังคำอธิษฐานของเราและจะทรงตอบตามที่ทรงเห็นดีว่าที่สุด มีพระเจ้าเพียงองค์เดียว แต่ปรากฏในสามบุคคล (หรือสามพระภาค) คือ พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร และพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทั้งสามมีความแตกต่างกัน แต่ทำงานร่วมกันอย่างกลมกลืนเพราะเป็นหนึ่งเดียวกัน การทรงสร้างและการล่มสลายของมนุษยชาติ พระเจ้าทรงสร้างโลกและทุกอย่างบนโลก ทรงสร้างดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว ดิน น้ำ นก และปลาภายในห้าวัน และในวันที่หก พระเจ้าได้ทรงสร้างสรรพสิ่งในแผ่นดิน แล้วทรงสร้างมนุษย์ตามพระฉายของพระองค์เอง มนุษย์เป็นมงกุฎแห่งการทรงสร้างของพระเจ้าและเป็นการแสดงออกถึงความรักของพระองค์ พระเจ้าสร้างอาดัม มนุษย์คนแรกที่บริสุทธิ์และปราศจากบาป พระเจ้าต้องการให้มนุษย์รับใช้พระองค์โดยให้ทางเลือกส่วนบุคคล พระองค์ประทานบัญญัติง่ายๆ แก่อาดัมและเอวาภรรยาเพียงข้อเดียว แต่พวกเขาเลือกที่จะไม่เชื่อฟัง เพราะบาปของพวกเขา พวกเขาจึงถูกแยกออกจากพระเจ้า การไม่เชื่อฟังของพวกเขาทำให้ทุกคนตกอยู่ภายใต้การสาปแช่งของบาปและความตาย พระเจ้าเท่านั้นที่สามารถไถ่มนุษยชาติได้ เพราะความรักของพระองค์ “พระองค์ได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ที่บังเกิดมา เพื่อผู้ใดที่เชื่อในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์” (ยอห์น 3:16) พระเจ้าพระบุตร พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า พระองค์เสด็จมายังโลกอย่างทารก เกิดจากหญิงพรหมจารีย์โดยฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเยซูทรงดำเนินชีวิตอย่างสามัญชน พระองค์ถูกมารมาล่อลวงใจในหลายๆ ทางเช่นเดียวกับเรา แต่พระองค์ไม่เคยทำบาป พระเยซูเสด็จไปทำความดี รักษาโรคต่างๆ ให้กับคนเป็นอันมาก พระองค์ทรงสอนพวกเขาเกี่ยวกับความรอดและความรักของพระบิดา จุดประสงค์ของพระองค์ในการเสด็จมาแผ่นดินโลกคือการถวายพระองค์เองเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปของคนทั้งโลก เมื่อพระเยซูทรงเทศนาเรื่องบาปและความเห็นแก่ตัว พวกผู้นำศาสนาโกรธพระองค์ พวกเขามอบพระองค์ให้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ตรึงพระองค์ไว้ หลังจากที่พระองค์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เหล่าสาวกได้นำพระศพไปฝังในอุโมงค์ ในวันที่สาม โดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า พระเยซูทรงฟื้นจากความตาย ก่อนที่พระองค์จะเสด็จกลับสวรรค์ พระองค์ทรงสอนเหล่าสาวกถึงวิธีสถาปนาอาณาจักรของพระเจ้า พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นบุคคลที่สามของพระผู้เป็นเจ้าสามพระภาค พระองค์ทรงเปิดเผยพระประสงค์ของพระเจ้าต่อมนุษย์ พระองค์ทรงตำหนิผู้คนในเรื่องรูปเคารพและการกระทำที่เป็นบาป ทรงเชื้อเชิญให้มนุษย์ยอมรับการเสียสละของพระเยซูคริสต์ในการชดใช้บาปของพวกเขา สำหรับผู้ที่เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ พระเจ้าประทานของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์ทรงเป็นที่ปรึกษาในทุกปัญหาของชีวิต เป็นผู้ปลอบโยนในความทุกข์ยากทั้งหมด พระองค์ทรงตักเตือนคนอธรรม ทรงนำพวกเขาไปสู่ความจริงทั้งมวล พระคัมภีร์ พระคัมภีร์คือพระวจนะของพระเจ้าและข่าวสารของพระองค์ถึงมนุษย์ ไม่ใช่หนังสือที่มนุษย์สร้างขึ้น แต่เขียนขึ้นโดยคนของพระเจ้าในสมัยโบราณโดยได้รับแรงบันดาลใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระคัมภีร์บันทึกการสร้างโลกและมนุษย์ พระคัมภีร์บอกเราว่าทุกคนทำบาปและบาปนั้นแยกมนุษย์ออกจากพระเจ้า อธิบายถึงวิธีการไถ่ที่สามารถปลดปล่อยทุกคนจากพันธนาการของบาป พระคัมภีร์สอนเราถึงวิธีดำเนินชีวิตตามแบบพระเจ้าและวิธีเตรียมตัวสำหรับกัลปาวสาน การดำเนินชีวิตแบบคริสเตียน ชีวิตหลังความตาย
บนอนุสาวรีย์ Arch of Triumph ที่กรุงปารีสนั้น มีข้อความที่เขียนเกี่ยวกับการต่อสู้ของนโปเลียนและชัยชนะที่ได้มา อย่างไรก็ตาม การต่อสู้ครั้งสำคัญเหตุการณ์หนึ่งไม่ได้บันทึกไว้ ใช่แล้ว มันเป็นการต่อสู้ครั้งประวัติศาสตร์ของยุทธการวอเตอร์ลู (Waterloo) มันไม่มีบันทึกอยู่ที่นั่น สถานการณ์เปลี่ยน ความทะเยอทะยานของเขา พังทลายเพราะการพ่ายแพ้ครั้งสำคัญนี้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงถูกเนรเทศและเสียชีวิตลง จะมีประโยชน์อันใดกับนโปเลียนที่ได้ครองโลกทั้งใบแต่ต้องพ่ายแพ้ที่วอเตอร์ลู? เกียรติ ชื่อเสียง และลาภยศของเขาหายไปในทันที ชัยชนะทั้งหมดในอดีตไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อเขาจากการพ่ายแพ้สงครามครั้งยิ่งใหญ่นี้ การพ่ายแพ้ในครั้งนี้ทำให้เขาสูญเสียทุกอย่าง แน่นอนว่าทุกดวงวิญญาณจะต้องเผชิญกับการต่อสู้ฝ่ายวิญญาณครั้งใหญ่ในชีวิต ผลของการต่อสู้มีความสำคัญยิ่ง ความพ่ายแพ้ที่วอเตอร์ลูทำให้นโปเลียนอับอายต่อชีวิตที่เหลือ ความพ่ายแพ้ในสงครามฝ่ายวิญญาณของคุณก็นำมาซึ่งความปวดร้าวตลอดกาล คุณนึกถึงผลที่ตามมาจากการเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางโดยปราศจากพระคริสต์หรือไม่? คุณกำลังพ่ายแพ้สงครามในชีวิตหรือไม่? คุณกำลังทำสงครามระหว่างความเป็นและความตายใช่ไหม? หรือเป็นสงครามระหว่างสวรรค์และนรก? เป็นสงครามต่อสู้ระหว่างการปฏิเสธตนเองและการรักตนเอง หรือระหว่างวิญญาณของคุณกับมาร? พระเยซูตรัสว่า “เพราะถ้าผู้ใดจะได้สิ่งของสิ้นทั้งโลก แต่ต้องสูญเสียจิตวิญญาณของตน ผู้นั้นจะได้ประโยชน์อะไร?” (มาระโก 8:36) ไม่ว่าเราจะครอบครองสิ่งทั้งปวงในโลกนี้มากมายแค่ไหนก็ตามแต่หากเราต้องสูญเสียจิตวิญญาณของเราไป มันเป็นสิ่งที่น่าเศร้าที่สุด จุดหมายนิรันดร์ของเราจะถูกปิดกั้น หลายคนไม่ทราบว่ามีสงครามฝ่ายวิญญาณที่ต้องต่อสู้ ซาตานและความมืดมิดของโลกปิดหูปิดตาความเข้าใจของพวกเขา พวกเขาหลับใหลต่อความเป็นจริงที่ว่ามีการต่อสู้กับความบาป พระคัมภีร์กล่าวว่า “คนที่หลับอยู่จงตื่นขึ้นและจงฟื้นขึ้นมาจากความตาย และพระคริสต์จะทรงส่องสว่างแก่ท่าน” (เอเฟซัส 5:14) จงสลัดโซ่ตรวนแห่งความบาปและซาตาน และต่อสู้จนถึงที่สุด! คุณไม่สามารถหนีความตายตามธรรมชาติได้ แต่คุณสามารถหลีกหนีความตายนิรันดร์ได้ “แล้วความตายและนรกก็ถูกผลักทิ้งลงไปในบึงไฟ” (วิวรณ์ 20:14) “ในที่นั้นตัวหนอนก็ไม่ตาย และไฟก็ไม่ดับเลย” (มาระโก 9:44) หากคุณพ่ายแพ้การต่อสู้เพื่อความรอดฝ่ายจิตวิญญาณของคุณ คุณก็จะพบกับการลงโทษและการทรมานนิรันดร์ในนรก หากคุณปรารถนาที่จะเพลิดเพลินไปกับโลกแห่งความบาป ในท้ายที่สุดคุณจะพบว่าตัวเองพ่ายแพ้เช่นเดียวกับนโปเลียนในสงครามวอเตอร์ลู คุณจะเป็นเหมือนคนจมน้ำปราศจากคนช่วยเหลือและจะต้องตาย นั่นเป็นชะตากรรมที่จะต้องอยู่ในนรกชั่วกัลป์! อย่ารอช้าเลย จงยึดฉวยองค์พระเยซูคริสต์ผู้ทรงดำรงอยู่ พระองค์จะทรงช่วยให้รอดถึงที่สุด (ฮีบรู 7:25) อยู่กับพระองค์ในสวรรค์นิรันดร์! ดังนั้น ในการสู้รบครั้งสุดท้าย คุณจะพูดเหมือนอย่างที่อัครสาวกเปาโลพูดว่า “ขอบพระคุณแด่พระเจ้า ผู้ทรงประทานชัยชนะแก่เราทั้งหลายโดยพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา” (1 โครินธ์ 15:57) ท่านที่รัก คุณมีทางเลือกว่าคุณต้องการชัยชนะหรือความพ่ายแพ้ สวรรค์หรือนรก พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์หรือมาร ความชื่นชมยินดี ความรุ่งเรืองนิรันดร์ หรือความวิบัติและการทรมานที่ไม่รู้จบ “ข้าพเจ้าตั้งชีวิตและความตาย พระพรและคำสาปแช่งไว้ต่อหน้าท่าน เพราะฉะนั้นท่านจงเลือกเอาข้างชีวิต” (เฉลยธรรมบัญญัติ 30:19) วันนี้คุณควรเลือกเอาพระเยซูเข้าสู่ชีวิตของคุณ!
อนาคตของคุณจะเป็นเช่นไร? มีใครบ้างที่คิดถึงอนาคตโดยไม่คิดถึงชีวิตหลังความตายบ้าง? มนุษย์หนีไม่พ้นที่จะคิดถึงเรื่องสภาพหลังความตายแต่พวกเขาเลือกที่จะขจัดความคิดนี้ออกไปจากจิตใจ พวกเขายุ่งวุ่นวายกับสิ่งต่างๆ ในชีวิตนี้และปัดความคิดในเรื่องความตาย สวรรค์ และนรกไปให้ไกลตัว (มัทธิว 24:48, ปัญญาจารย์ 8:11) ในความเป็นจริงแล้วนี่เป็นสิ่งที่เราต้องเลือก การไม่ทำอะไรเลยหมายถึงการสูญเสียชั่วนิรันดร์ มีเพียงสองจุดหมายปลายทางเท่านั้น สง่าราศีของสวรรค์และความน่าสะพรึงกลัวของนรกทำให้เราเชื่อว่าการไปสวรรค์เป็นจุดหมายปลายทางนิรันดร์ของเรา เราก็คงเลือกทางนี้ถ้าเราตระหนักถึงรางวัลที่จะได้รับ แน่นอนว่าคนบาปจะไม่ได้เข้าสวรรค์ และผู้ที่ไม่แสวงหาการอภัยก็จะมีการลงโทษในนรกตลอดกาล “และพวกเหล่านี้จะต้องออกไปรับโทษอยู่เป็นนิตย์ แต่ผู้ชอบธรรมจะเข้าสู่ชีวิตนิรันดร์” (มัทธิว 25:46) สวรรค์—บ้านสำหรับทุกคนที่ได้รับการไถ่ สำหรับผู้ได้รับการไถ่หรือผู้ที่ได้รับการชำระด้วยพระโลหิตของพระคริสต์ สวรรค์เป็นสถานที่พิเศษ (วิวรณ์ 7:13-14) มันเป็นบ้าน ความปรารถนาในสวรรค์ของพวกเขาก็เหมือนกับความปรารถนาของผู้ประพันธ์เพลงสดุดีในพระธรรมสดุดี 63:1 ที่กล่าวว่า “จิตวิญญาณของข้าพระองค์กระหายหาพระองค์…ในดินแดนที่แห้งแล้งและกระหายน้ำ” สำหรับจิตใจที่เกาะเกี่ยวกับฝ่ายเนื้อหนังและหมกมุ่นกับทางโลก สวรรค์ดูเหมือนเป็นสถานที่ห่างไกล แต่สำหรับผู้ที่เกิดจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า สวรรค์อยู่ใกล้และมีอยู่จริง เขาได้รับบ้านอันเป็นนิรันดร์ของเขา พระคริสต์ได้ทรงแสดงให้เห็นว่า ความจริง ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความบริสุทธิ์ และความรักเป็นคุณธรรมที่มีค่าสำหรับลูกของพระเจ้า ขณะที่พระเจ้าประทานชีวิตให้แก่ผู้เชื่อด้วยความรักจากสวรรค์ พระองค์ทรงยังทรงซื่อสัตย์และถ่อมพระทัย พระทัยของพระองค์ปรารถนาเติมเต็มความบริบูรณ์และความบริสุทธิ์ในบ้านแห่งสวรรค์ (2 โครินธ์ 5:1) สวรรค์—สถานที่แห่งความสว่าง ชีวิตบนโลกใบนี้เต็มไปด้วยความมืดมนมากมาย เรามักพบเจอกับสิ่งที่เราไม่เข้าใจ เราพยายามที่จะมองไปยังอนาคต แต่ก็ไม่สามารถทำได้ ชีวิตของเรามักจะประสบกับความผิดหวังอยู่เสมอ ทั้งหมดนี้สามารถอธิบายได้ว่านั่นคือความมืด สวรรค์มีเพียงแสงสว่างและเป็นที่ที่พระเจ้าสถิตอยู่ “พระเจ้าทรงเป็นความสว่าง และไม่มีความมืดอยู่ในพระองค์เลย” (1 ยอห์น 1:5) ในความสว่างของพระองค์คือความเข้าใจอันบริบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นความรู้ อดีตและเหตุการณ์ทั้งหมดจะถูกทำให้ชัดเจนอย่างสมบูรณ์ ในความสว่างนี้จะเต็มไปด้วยการสามัคคีธรรมระหว่างพระบิดากับทุกคนที่อยู่ร่วมกับพระองค์ สวรรค์ถูกอธิบายว่าเป็น “มรดกของวิสุทธิชนในความสว่าง” (โคโลสี 1:12) คุณลักษณะของความสว่างที่ระบุไว้ในพระคัมภีร์คือความรู้ ความบริสุทธิ์ และความยินดี ความสว่างนี้จะคงอยู่ตลอดกาลไม่มีสะดุด ที่นั่นจะไม่มีกลางคืน (วิวรณ์ 21:25) สวรรค์—สถานที่ปราศจากการคุกคามหรือบาป “สิ่งใดที่เป็นมลทิน หรือผู้ใดก็ตามที่กระทำสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียน หรือพูดมุสาจะเข้าไปในเมืองไม่ได้เลย” (วิวรณ์ 21:27) ความท้อแท้ ความผิดหวัง การล่อลวง และบาปเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตทางโลก สิ่งเหล่านี้ไม่อาจเข้าไปในดินแดนที่สวยงามนั้น สภาพอมตะของผู้ได้รับความรอด ความสัมพันธ์ของมนุษย์มีความสำคัญต่อเราบนโลกนี้ ความสุขและความทุกข์ของผู้อื่นมีผลต่ออารมณ์ของเรา ความผูกพันธ์ในครอบครัวมีความหมายและการพลัดพรากจากกันเป็นเรื่องที่เจ็บปวด ทั้งหมดนี้เป็นส่วนที่จำเป็นของสภาวะความเป็นมนุษย์ของเรา ในสถานะนี้ ความสัมพันธ์ในครอบครัวจะไม่มีความหมายกับเราอีกต่อไป พระเยซูทรงสอนว่าจะไม่มีการแต่งงานในสวรรค์ (มัทธิว 22:30) อารมณ์ของชีวิตนี้จะจืดชืดเมื่อเทียบกับความสุขที่จะอยู่ต่อหน้าพระเจ้า ไม่มีสิ่งใดมาทำลายความสัมพันธ์ระหว่างผู้ที่ได้รับความรอดกับพระเมษโปดกของพระเจ้า พระเยซูและพระประสงค์ของพระองค์จะได้รับเกียรติ
คุณเคยคิดบ้างไหมว่า “ถ้าคุณสามารถเป็นอิสระอย่างสมบูรณ์แล้วคุณจะมีความสุข มีความสงบสุข?” หลายคนแสวงหาเสรีภาพที่สมบูรณ์เพื่อความสุขและความสงบสุข ผู้คนปรารถนาที่จะเป็นอิสระจากสิ่งยึดเหนี่ยวทุกอย่าง โดยเชื่อว่าหากได้ทำตามที่ใจต้องการแล้วมันจะนำมาซึ่งความสุข นั่นทำได้จริงหรือ? บรรยากาศเสียงหัวเราะและไร้ความกังวลท่ามกลางแสงสีเสียงในคลับบาร์ดึงดูดใจหลายคนให้คิดว่าที่นั่นเต็มไปด้วยความสุข คนหนุ่มสาวให้ความสำคัญกับซิกแพคหน้าท้อง บุหรี่ รถยนต์ และการดื่มด่ำกับมิตรสหายทั้งคืนรู้สึกมั่นใจว่ามีความสุข การให้คุณค่ากับสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ให้ความสงบและความสุขตามที่ผู้คนแสวงหา กัญชา ยาหลอนประสาท และแคร็ก (สารเสพติดโคเคนประเภทหนึ่ง) ทำให้เกิดอาการเมาเคลิบเคลิ้มอย่างน่าอัศจรรย์ แน่นอน เราคิดว่าสิ่งนี้จะนำมาซึ่งความสุข พร้อมกับความสงบสุขด้วย มันทำได้จริงหรือ? ดนตรีสมัยใหม่ที่แทรกซึมเข้าสู่จิตใจและร่างกาย ทำงานร่วมกับแอลกอฮอล์และยาเสพติดเพื่อให้เกิดอาการเคลิบเคลิ้มมากยิ่งขึ้น สิ่งนี้ไม่ได้นำมาซึ่งความสุขที่แท้จริงเช่นกัน การตามใจตนเองในเรื่องทางเพศตามราคะตัณหาของมนุษย์ โดยไม่มีการยับยั้งชั่งใจเพื่อเติมเต็มความปรารถนา นำมาแต่ความว่างเปล่าและความผิดหวัง ไม่เลย…คุณไม่อาจพบความสุขได้ ในยุคสมัยของเรา นอกจากความคิดอย่างนี้แล้วหลายคนยังมีความคิดในด้านอื่นๆ อีกเช่น การมีอิสระในการทำสิ่งที่อยากจะทำ ความเชื่อที่ว่าไม่ควรมีกฎหมาย ไม่ควรตีตรา และต่อต้านผู้ที่แสวงหาความสุขและความสงบสุข มันเป็นความคิดว่าเสรีภาพควรนำมาซึ่งความสงบสุขและความสุข ความสุขมักจะพบได้ในสิ่งที่พวกเขาสนับสนุน แน่นอนเราคิดว่าถ้าเราเพียงแค่แสวงหาความสุขเท่านั้นเราไม่ต้องรับผิดชอบต่อผลที่เรากระทำ เรารู้สึกว่าเราสมควรมีสิทธิ์ได้รับ “ความสุข” อย่างยุติธรรม เมื่อคำนึงถึงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการตามใจตัวเองดังกล่าว จึงมักจะมีคำเตือนยอดฮิตออกมาเช่น อย่าดื่มสุราขณะขับรถ, ยาเสพติดเป็นภัยต่อชีวิต, มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย, มีลูกเมื่อพร้อม เป็นต้น คำแนะนำเหล่านี้ไม่ใช่วิธีแก้ไข หากความสุขหาได้เช่นแล้ว จะรู้สึกเหงาในบาร์ที่คนพลุกพล่านทำไม? ทำไมรู้สึกหดหู่หลังจากรู้สึกเบิกบาน? ทำไมรู้สึกหงุดหงิดหลังจากดื่มด่ำกับมันละ? ทำไมเกิดความรู้สึกผิดหวังหลังจากความสัมพันธ์แตกหัก ถ้าการทำตามใจตนเองนำมาซึ่งความสุขและความสงบ เหตุใดสิ่งเหล่านี้จึงดูเหมือนอยู่เหนือความเข้าใจของเราเสมอ เหตุใดจึงมีปัญหามากมายและเหตุใดชีวิตจึงดูว่างเปล่า? การตามใจตัวเองไม่ใช่เสรีภาพที่แท้จริง มันจะไม่นำมาซึ่งความสุขหรือความสงบสุข การตามใจตัวเองเป็นบาปเพราะเป็นการรับใช้ตนเองแทนการรับใช้พระเจ้า พระเยซูตรัสในมัทธิว 11:28-29 ว่า “บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนักจงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลายหายเหนื่อยเป็นสุข จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเรามีใจอ่อนสุภาพและถ่อมลง และท่านทั้งหลายจะพบที่สงบสุขในใจของตน” แล้วคุณละ คุณเป็นอย่างไรบ้าง? คุณรู้สึกไม่สบายใจและมีปัญหาหรือไม่? ปัญหาในโลกและความสัมพันธ์ของคุณทำให้คุณกังวล รู้สึกผิด และกลัวหรือไม่? บางครั้งคุณสงสัยว่ามีใครรักและห่วงใยคุณจริงๆ หรือเปล่า? จงมั่นใจว่าพระเจ้ารักคุณ พระองค์สนใจอย่างยิ่งอยากให้คุณพบความสงบ อิสรภาพ และความสุข สันติสุขที่แท้จริงไม่ได้มาจากการปล่อยตัวปล่อยใจมากขึ้น แต่เป็นการยอมแพ้ในตัวเอง การยอมจำนนต่อพระเจ้าและวางใจในพระองค์ที่จะนำการพักผ่อนมาสู่จิตวิญญาณของคุณ พระเยซูตรัสว่า “เรามอบสันติสุขไว้ให้แก่ท่านแล้ว สันติสุขของเราที่ให้แก่ท่านนั้น เราให้ท่านไม่เหมือนโลกให้ " (ยอห์น 14:27)
สี่สิบแปดชั่วโมงในนรก
จอห์น ดับบลิว เรย์โนลส์ เรื่องราวเกี่ยวกับการกู้ชีพที่น่าสนใจที่สุดเรื่องหนึ่งที่ผมรู้ก็คือเรื่องของจอร์จ เลนน็อกซ์ โจรขโมยม้าผู้อื้อฉาวแห่งเจฟเฟอร์สันเคาน์ตี้ เขากำลังรับโทษเป็นครั้งที่สอง ครั้งแรกเขาถูกจับเข้าคุกที่เซดก์วิกเคาน์ตี้ข้อหาโขมยม้าเช่นเดียวกัน ในช่วงฤดูหนาวปี 1887 และ 1888 เขาทำงานในเหมืองถ่านหิน เขาเห็นว่าสถานที่เขาทำงานอยู่นั้นดูไม่ปลอดภัย เขารายงานเรื่องนี้ต่อเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบให้ทำการตรวจสอบ หลังจากตรวจสอบและลงความเห็นว่าพื้นที่นั้นปลอดภัย เจ้าหน้าที่จึงสั่งให้เลนน็อกซ์กลับเข้าไปทำงาน เขากลับเข้าไปอย่างเชื่อฟัง แต่หลังจากนั้นไม่ถึงชั่วโมง เพดานได้ร่วงหล่นลงมาฝังร่างของเขา เขาอยู่ในสภาพนั้นถึงสองชั่วโมงเต็ม ในช่วงเย็นวันนั้นได้มีการค้นหานักโทษที่สูญหายและพบว่าเขาอยู่ใต้ซากปรักหักพัง ดูเหมือนไม่มีสัญญาณชีพ เขาถูกนำตัวขึ้นไปด้านบน แพทย์ในเรือนจำได้ทำการตรวจสอบและแจ้งว่าเขาได้เสียชีวิตแล้ว ศพของเขาถูกนำส่งโรงพยาบาลเพื่อทำความสะอาดและแต่งกายเตรียมความพร้อมสำหรับพิธีฝัง โลงศพของเขาถูกประกอบขึ้นและส่งไปที่โรงพยาบาล อนุศาสกมาถึงเพื่อทำพิธีไว้อาลัยครั้งสุดท้ายก่อนทำการฝัง เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลสั่งให้นักโทษสองคนยกศพขึ้นจากแผ่นกระดานแล้วนำไปวางในโลงศพที่อยู่อีกด้านหนึ่งของห้อง พวกเขาทำตามโดยคนหนึ่งยกที่ศีรษะ อีกคนยกที่เท้า ระหว่างยกร่างของศพไปได้ครึ่งทาง คนที่อยู่ด้านศีรษะบังเอิญเดินสะดุดกระโถน เขาเสียการทรงตัวและปล่อยศพหลุดมือ ศีรษะของศพกระแทกพื้น และเสียงครวญครางก็ดังขึ้นจนสร้างความประหลาดใจอย่างที่สุด จากนั้นดวงตาของศพก็ลืมขึ้นและสัญญาณชีพก็ปรากฏแพทย์ถูกส่งตัวไปทันที ช่วงสามสิบนาทีต่อมาผู้ตายได้ขอน้ำดื่มหนึ่งแก้ว และเมื่อแพทย์มาถึงก็เห็นว่าเขากำลังดื่มน้ำอยู่ โลงศพถูกยกออกไปและใช้ฝังนักโทษอีกคนหนึ่ง เสื้อคลุมสำหรับฝังศพก็ถูกถอดจากร่างของเขาและเปลี่ยนเป็นชุดนักโทษแทน จากการตรวจร่างกายพบว่าขาข้างหนึ่งหักสองจุด และมีรอยฟกช้ำ เขาอยู่ในโรงพยาบาลประมาณหกเดือน และกลับไปทำงานอีกครั้ง ผมได้ยินประสบการณ์แปลกๆ ที่ดูเหมือนตายของเขาจากเพื่อนคนงานเหมืองคนหนึ่ง ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ผมอยากจะรู้จักกับเลนน็อกซ์เพื่อได้ยินประสบการณ์ของเขาจากปากเขาเอง ผมต้องรออยู่หลายเดือนเพื่อหาโอกาสนั้น ในที่สุดเวลาก็มาถึง หลังจากที่ย้ายออกจากเหมืองผมได้แจ้งสํานักงานเรือนจำแห่งหนึ่งถึงการทำรายงานประจําปี วันหนึ่งมีการหยิบยกเรื่องราวการฟื้นคืนชีพของชายผู้นี้มาพูดคุยขณะที่เขาเดินผ่านประตูสำนักงานและชี้มาที่ผม จากนั้นผมก็ให้จดหมายสั้นแก่เขา ผมขอให้เขามาที่ทำงานของผม เขาตกลงและจึงทำให้ผมสนิทสนมกับเขาเป็นอย่างดี และได้ยินเรื่องราวอันยอดเยี่ยมจากริมฝีปากของเขาเอง เขาเป็นชายหนุ่มอายุไม่น่าจะเกินสามสิบปี เขาเป็นอาชญากรที่แข็งกระด้าง มีการศึกษาที่ดีและร่าเริงแจ่มใส จากเรื่องราวของเขา ส่วนที่ดีที่สุดเกิดในช่วงที่เขาเสียชีวิต เนื่องจากผมเป็นนักข่าวจึงบันทึกด้วยการจดชวเลข ตามคำบอกเล่าของเขา เขากล่าวว่า “ ทุกๆ เช้า ผมสังหรณ์ใจว่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้นอยู่เสมอ ผมรู้สึกไม่สบายใจ ผมเข้าไปหาคุณเกรสันหัวหน้าคนงานเหมืองและบอกเขาว่าผมรู้สึกยังไง ผมขอให้เขาเข้าไปตรวจสอบอุโมงค์ถ่านหินที่ผมขุดอยู่ เขาเข้าไปดูและตรวจสอบอย่างละเอียด เขาบอกว่าไม่มีอันตรายใดๆ และสั่งให้ผมกลับเข้าไปทำงาน เขาคิดว่าผม ‘บ้า’ ผมกลับเข้าไปทำงานและขุดอยู่ในนั้นเป็นชั่วโมง ทันใดนั้นทุกอย่างก็มืดลง ผมเห็นประตูเหล็กบานใหญ่เปิดออกและผมก็เดินเข้าไป ในใจของผมคิดว่าผมคงตายไปแล้วและอยู่อีกโลกหนึ่ง ผมมองไม่เห็นใคร ไม่ได้ยินเสียงใดๆ ผมเริ่มเดินผ่านออกจากประตูมาไกลพอสมควร จนมาถึงแม่น้ำใหญ่สายหนึ่ง ที่นั่นไม่มืดไม่สว่าง มันสว่างคล้ายกับคืนที่มีแสงดวงดาว ผมยืนอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำได้ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงฝีพาย จากนั้นก็มีคนพายเรือมายังที่ผมยืนอยู่ “ผมพูดไม่ออก เขามองมาที่ผมครู่หนึ่ง เขาบอกว่าเขามาหาผมและให้ผมลงเรือไปกับเขา แล้วพายเรือข้ามไปอีกฝั่งหนึ่ง ผมเชื่อฟังและไม่ได้พูดอะไรสักคำ ผมอยากจะถามเขาว่าเขาเป็นใคร และผมอยู่ที่ไหน ลิ้นของผมเหมือนเกาะติดกับเพดานปากและไม่สามารถพูดอะไรได้ ในที่สุดเราก็มาถึงฝั่งตรงข้าม ผมลงจากเรือและคนพายเรือก็หายวับไปจากสายตา เศรษฐีกับลาซารัส
หลังความตาย
ในเวลานี้คุณยังมีชีวิตอยู่ คุณหายใจ เคลื่อนไหวหรือทำงาน คุณอาจใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายหรืออยู่ในความทุกข์ยาก มีพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตก มีเด็กกำลังเกิดที่ไหนสักแห่ง แต่ก็มีใครบางคนกำลังจะตายอยู่สักที่เสมอ ทุกชีวิตเป็นเพียง การจัดเตรียมชั่วคราวเท่านั้น แต่ว่า หลังจากตายแล้ว คุณจะไปไหน? ไม่ว่าคุณจะนับถือศาสนาอะไร หรือไม่เชื่อในศาสนาใด ๆ ก็ตาม คุณยังคงต้องตอบคำถามที่สำคัญเหล่านี้ เพราะหลังจากชีวิตบนโลกอันแสนสั้นสิ้นสุดลง มนุษย์ต้องเข้าสู่จุดหมายปลายทางอันเป็นนิรันดร์ของตน (ปัญญาจารย์ 12:5) ที่ไหนละ? สุสานที่คุณจะถูกฝังไม่สามารถฝังจิตวิญญาณของคุณได้ แม้ว่าร่างกายของคุณจะถูกเผาที่กองเพลิง แต่ก็ไม่สามารถกลืนกินจิตวิญญาณของคุณได้ หากคุณเสียชีวิตในทะเลลึก จิตวิญญาณของคุณก็จะไม่จมน้ำตาย วิญญาณของคุณจะไม่มีวันตาย! พระเจ้าแห่งสวรรค์และโลก ได้ตรัสว่า “วิญญาณทั้งหมดเป็นของเรา” ในปรโลกจิตวิญญาณของคุณ ซึ่งเป็น “ตัวจริง” ของคุณจะต้องเผชิญกับการกระทำที่คุณได้ทำไปในขณะที่ยังมีชีวิตไม่ว่าจะทำดีหรือไม่ดี – อ้างถึง ฮีบรู 9:27 คุณอาจนมัสการด้วยความจริงใจ คุณอาจรู้สึกเสียใจกับการกระทำที่ไม่ดีของคุณ คุณอาจซ่อมแซมสิ่งที่ถูกขโมย แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็น— แต่- คุณไม่สามารถชดใช้บาปของคุณเองได้ พระเจ้าแห่งสวรรค์ ผู้พิพากษาที่ชอบธรรมของโลกทรงรู้ความบาปและชีวิตของคุณ ไม่มีอะไรซ่อนเร้นจากพระองค์ คุณที่มีบาปไม่สามารถเข้าสู่ความสุขและสิริของโลกอนาคตได้ แต่พระเจ้าบนสวรรค์องค์เดียวกันนี้เป็นพระเจ้าแห่งความรัก พระองค์ทรงออกแบบวิธีการไถ่ชีวิตและจิตวิญญาณของคุณ คุณจะไม่ถูกโยนลงไปในความหายนะและไฟนรกอันเป็นนิรันดร์ พระเจ้าส่งพระเยซูเข้ามาในโลกนี้เพื่อช่วยจิตวิญญาณของคุณ พระเยซูรับบาปของคุณไว้กับพระองค์เมื่อพระองค์ทนทุกข์และสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน พระเจ้าประทานสวรรค์ที่ดีที่สุดเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปของคุณ “แต่ท่านถูกบาดเจ็บเพราะความละเมิดของเราทั้งหลาย ท่านฟกช้ำเพราะความชั่วช้าของเรา การตีสอนอันทำให้เราทั้งหลายปลอดภัยนั้นตกแก่ท่าน ที่ต้องฟกช้ำนั้นก็ให้เราหายดี” (อิสยาห์ 53:5) ถ้อยคำเหล่านี้พยากรณ์เกี่ยวกับพระเยซูไว้หลายปีก่อนที่พระองค์จะเสด็จมาบนโลก คุณจะเชื่อไหมว่าพระเยซูรักคุณ? คุณจะอธิษฐานและสารภาพบาปต่อพระองค์หรือไม่? คุณจะกลับใจและเชื่อในพระเยซู พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่หรือไม่? พระองค์จะทรงนำสันติสุขมาสู่จิตวิญญาณของคุณและประทานชีวิตอันรุ่งโรจน์หลังความตายแก่คุณ เพียงเท่านี้คุณก็สามารมั่นใจได้ว่าคุณจะมีบ้านนิรันดร์ที่เต็มไปด้วยสันติสุขความชื่นชมยินดีและการปลอบโยนสำหรับจิตวิญญาณของคุณ แต่ว่า! หลุมแห่งความหายนะและไฟที่ไม่สิ้นสุดกำลังรอผู้ที่ปฏิเสธความรักแห่งการไถ่ของพระเยซูขณะที่ยังมีชีวิต จะไม่มีการหันกลับหรือความช่วยเหลือหลังความตาย “แล้วพระองค์จะตรัสกับบรรดาผู้ที่อยู่เบื้องซ้ายพระหัตถ์ด้วยว่า ‘ท่านทั้งหลาย ผู้ต้องสาปแช่ง จงถอยไปจากเราเข้าไปอยู่ในไฟซึ่งไหม้อยู่เป็นนิตย์ ซึ่งเตรียมไว้สำหรับพญามารและสมุนของมันนั้น” (มัทธิว 25:41) “จงเอาเจ้าผู้รับใช้ที่ไร้ประโยชน์นี้ไปทิ้งเสียที่มืดภายนอก ซึ่งที่นั่นจะมีการร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน” (มัทธิว 25:30) ในพระคัมภีร์ พระเจ้าได้เตือนถึงการพิพากษาครั้งสุดท้ายของทั้งโลกที่กำลังจะเกิดขึ้น ในพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ มีคำทำนายว่าก่อนวันพิพากษาจะเกิดขึ้น จะมีหมายสำคัญที่ชัดเจนและเด่นชัด ก่อนที่พระองค์จะเสด็จมา จะมีสงครามและข่าวลือเรื่องสงคราม ความทุกข์ยาก และความฉงนสนเท่ห์ของประชาชาติ ชาติต่างๆ จะต่อสู้กันเองและดูเหมือนจะไม่มีทางแก้ไขทัศนคติและความคิดเห็นที่แตกต่างกันได้