แทร็กต์
การให้อภัย
คุณได้รับการอภัยหรือยัง? อนาคตอันชั่วนิรันดร์ของคุณขึ้นอยู่กับคำตอบของคำถามนี้ พระคัมภีร์สอนเราว่า “ไม่มีผู้ใดเป็นคนชอบธรรมสักคนเดียว ไม่มีเลย ” (โรม 3:10) ข้อ 23 ของบทเดียวกันกล่าวว่า “เหตุว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากสง่าราศีของพระเจ้า” เราต้องได้รับการอภัยจากพระเจ้าหากเราต้องการรอดจากผลของความบาป สักวันเราจะได้พบกับพระเจ้าในการพิพากษา “เพราะว่าจำเป็นที่เราทุกคนจะต้องปรากฏตัวที่หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ เพื่อทุกคนจะได้รับสมกับการที่ได้ประพฤติในร่างกายนี้ แล้วแต่จะดีหรือชั่ว” (2 โครินธ์ 5:10) เรากำลังเผชิญกับสิ่งที่เรียกว่านิรันดร์และสิ่งนี้ทำให้เราจำเป็นต้องรู้ว่าเราได้รับการอภัยหรือไม่ หากได้รับการอภัยเราก็จะถูกรับไปสวรรค์ หากไม่เราจะถูกพิพากษาให้ตกนรกชั่วนิรันดร์กับมารและสมุนของมัน (มัทธิว 25:31-34, 41) การให้อภัยโดยพระโลหิตของพระคริสต์ ดังนั้น เราจะทำอะไรได้บ้างเพื่อช่วยจิตวิญญาณของเรา? เราไม่สามารถช่วยตัวเองให้รอดได้ แต่เราสามารถยอมรับแผนการณ์ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้เราได้ เราจะเข้าใจแผนนี้เมื่อเราพิจารณาถึงสิ่งที่พระองค์แสดงต่อชาวอิสราเอลซึ่งเป็นประชากรของพระองค์ก่อนที่พระคริสต์จะเสด็จมา พระเจ้าบอกให้พวกเขาถวายสัตว์เป็นเครื่องบูชา ลูกแกะที่ถูกฆ่านั้นชี้ไปที่พระเมษโปดก (หรือแกะ) ที่สมบูรณ์แบบของพระเจ้านั่นคือพระเยซูคริสต์ พระองค์จะทรงไถ่ทุกคนโดยการหลั่งพระโลหิตของพระองค์สำหรับบาปของพวกเขา การหลั่งโลหิตยังช่วยให้ผู้คนเข้าใจถึงความร้ายแรงของบาปอีกด้วย เอเฟซัส 1:7 กล่าวว่า “ได้รับการไถ่โดยพระโลหิตของพระองค์ คือได้รับการอภัยโทษบาปของเรา” “ท่านรู้ว่า มิได้ไถ่ไว้ด้วยสิ่งที่เสื่อมสลายได้… แต่ทรงไถ่ด้วยพระโลหิตอันมีราคามากของพระคริสต์ ดังเลือดลูกแกะที่ปราศจากตำหนิหรือจุดด่าง” (1 เปโตร 1:18-19) การให้อภัยของเรามาจากการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์และการหลั่งพระโลหิตของพระองค์เพื่อบาปของมนุษย์ (ฮีบรู 9:22) ขอให้เราสังเกตว่า เพราะบาปของเรา เราสมควรที่จะได้รับความตายนิรันดร์ แต่เนื่องจากความรักและความเมตตาของพระองค์ พระเยซูสิ้นพระชนม์แทนเราเพื่อที่เราจะได้รับการอภัยและครอบคลุมการล่วงละเมิดทั้งสิ้นของเรา การไม่ให้อภัยนำมาซึ่งความเป็นทาส เมื่อเราได้รับการให้อภัยจากพระคริสต์เราก็ได้รับสันติสุข เพื่อรักษาสันติสุขนี้ไว้เราจำเป็นต้องให้อภัยผู้อื่นเช่นกัน พระคริสต์บอกเราในมัทธิว 6:14-15 ว่า “เพราะว่าถ้าท่านยกการละเมิดของเพื่อนมนุษย์ พระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์จะทรงโปรดยกโทษให้ท่านด้วย แต่ถ้าท่านไม่ยกการละเมิดของเพื่อนมนุษย์ พระบิดาของท่านจะไม่ทรงโปรดยกการละเมิดของท่านเหมือนกัน” พระเยซูทรงเล่าเรื่องหนึ่งเพื่อสอนเราเกี่ยวกับอันตรายของการไม่ให้อภัย เป็นเรื่องของกษัตริย์องค์หนึ่งที่ต้องการตรวจสอบบัญชีของข้าราชบริพาร เขาพบว่ามีคนใช้คนหนึ่งเป็นหนี้เขาจำนวนมากซึ่งเท่ากับค่าจ้างหลายปี กษัตริย์บอกคนใช้ให้เขาขายตัวของเขา ครอบครัวของเขา และทรัพย์สินทั้งหมดของเขาเพื่อนำมาใช้หนี้ คนใช้ขอความเมตตาและกษัตริย์ก็ยกหนี้ให้เขา ต่อมาคนใช้คนนี้พบกับเพื่อนคนใช้อีกคนซึ่งเป็นหนี้เขาเล็กน้อยเพียงค่าจ้างหนึ่งวัน เขาบอกเพื่อนคนใช้ว่าเขาจะต้องจ่ายเต็มจำนวน เพื่อนผู้รับใช้ของเขาอ้อนวอนขอความเมตตา แต่คนใช้ไม่ยอมยกหนี้ให้ เมื่อกษัตริย์ทรงทราบดังนั้นจึงเรียกคนใช้มาและกล่าวว่า “เราให้อภัยเจ้าเมื่อเจ้าขอการอภัย เจ้าไม่ควรทำแบบเดียวกันนี้หรือ?” กษัตริย์จึงส่งเขาเข้าคุกจนชำระหนี้ได้ทั้งหมด พระเยซูตรัสว่าพระบิดาบนสวรรค์ของเราจะไม่ให้อภัยเราหากเราไม่ให้อภัยผู้อื่น (มัทธิว 18:23-35) การเกลียดชังใครสักคน การขุ่นเคืองใจหรือเก็บความแค้นไว้เป็นเหตุให้เกิดผลด้านลบมากมาย ผู้ที่ยอมให้ทัศนคติเหล่านี้อยู่ในชีวิตก็จะกลายเป็นความทนทุกข์ ความสัมพันธ์ของเขาก็เลวร้ายลงเช่นกัน การให้อภัยอย่างไม่มีเงื่อนไข พระเยซูทรงสอนว่าวิธีเดียวที่เราจะให้อภัยผู้อื่นได้ก็คือวิธีที่พระองค์ทรงให้อภัยเรา เราต้องให้อภัยโดยไม่คำนึงถึงลักษณะความผิดหรือความรุนแรง จำนวนความผิด หรือลักษณะของผู้ที่ทำผิดต่อเรา เราต้องแสดงความเมตตาอย่างไม่มีเงื่อนไขอย่างที่พระเจ้าได้แสดงความเมตตาต่อเรา เมื่อเราถ่อมตัวและให้อภัยผู้อื่น พระเจ้าเปิดทางให้เราได้พบกับการอภัยในความผิดพลาดและความบาปของเรา พระเจ้าให้อภัยทุกคนที่มาหาพระองค์ด้วยใจถ่อมและสำนึกผิด
ก่อนกาลสมัยจะเริ่มต้น ในเวลานั้นมีพระเจ้า พระเยซูพระบุตรของพระองค์ และพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์ได้สร้างโลกและสิ่งทั้งปวงที่อยู่ในนั้น ด้วยความรักของพระเจ้า พระองค์ได้ทรงสร้างมนุษย์ตามพระฉายาของพระองค์และให้เขาอยู่ในสวนที่สวยงาม มนุษย์ไม่เชื่อฟังคำสั่งสอนของพระเจ้า การไม่เชื่อฟังนี้เป็นบาปและแยกมนุษย์ออกจากพระเจ้า พระองค์บอกพวกเขาว่าพวกเขาควรนำสัตว์หนุ่มที่สมบูรณ์มาเป็นเครื่องบูชาเพื่อไถ่บาป การบูชาเหล่านี้ไม่ได้ชดใช้ความบาป เป็นเพียงชี้ให้เห็นถึงการเสียสละสูงสุดที่พระเจ้าจะทรงจัดเตรียมให้เท่านั้น วันหนึ่งพระเจ้าจะส่งพระเยซูพระบุตรของพระองค์มายังโลกนี้เพื่อเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปของมนุษย์ทุกคน นางมารีย์และทูตสวรรค์ สี่พันปีต่อมา ในเมืองนาซาเร็ธ มีหญิงสาวคนหนึ่งชื่อมารีย์ เธอหมั้นหมายจะแต่งงานกับโยเซฟ วันหนึ่งทูตสวรรค์มาปรากฏแก่มารีย์และบอกกับเธอว่าเธอจะมีทารกอันแสนพิเศษคนหนึ่ง เธอควรตั้งชื่อเขาว่าเยซู บุตรชายคนนี้จะไม่มีบิดาฝ่ายโลก เขาจะเป็นพระบุตรของพระเจ้า การประสูติของพระเยซู หลังจากการมาเยี่ยมของทูตสวรรค์ โยเซฟและมารีย์เดินทางไกลไปยังเบธเลเฮมเพื่อจ่ายภาษี เมื่อไปถึงเมืองเบธเลเฮมก็มีผู้คนพลุกพล่านมากมาย พวกเขาต้องค้างคืนในโรงวัวเพราะไม่มีที่ว่างในโรงแรม ที่นั่นพระเยซูได้ประสูติ มารีย์ได้ห่อทารกพระเยซูด้วยผ้าและวางพระองค์ในรางหญ้า คนเลี้ยงแกะ คืนเดียวกันนั้น บนเนินเขานอกเมือง คนเลี้ยงแกะกำลังเฝ้าดูแกะของตน ทูตสวรรค์องค์หนึ่งปรากฏขึ้นและพระสิริของพระเจ้าส่องรอบคนเลี้ยงแกะ ทูตสวรรค์กล่าวว่า “อย่ากลัวเลย เพราะดูเถิด เรานำข่าวดีมายังท่านทั้งหลาย คือความปรีดียิ่งซึ่งจะมาถึงคนทั้งปวง เพราะว่าในวันนี้พระผู้ช่วยให้รอดของท่านทั้งหลาย คือพระคริสต์เจ้า มาบังเกิดที่เมืองดาวิด นี่จะเป็นหมายสำคัญแก่ท่านทั้งหลาย คือท่านจะได้พบพระกุมารนั้นพันผ้าอ้อมนอนอยู่ในรางหญ้า” จากนั้นทูตสวรรค์จำนวนมากก็ปรากฏตัวและสรรเสริญพระเจ้าว่า “รัศมีภาพจงมีแด่พระเจ้าในที่สูงสุด และบนแผ่นดินโลกสันติสุขจงมีท่ามกลางมนุษย์ทั้งปวงซึ่งทรงโปรดปรานนั้น” เมื่อทูตสวรรค์ได้จากไปแล้ว คนเลี้ยงแกะได้ทิ้งแกะของตนและมุ่งไปยังเบธเลเฮมอย่างรวดเร็ว ที่นั่นพวกเขาพบทารกตามที่ทูตสวรรค์บอกไว้ นักปราชญ์ หลังจากที่พระเยซูประสูติ พวกนักปราชญ์มาจากอีกประเทศหนึ่งไปยังกรุงเยรูซาเล็ม พวกเขาถามว่า “ทารกที่เกิดมาเป็นกษัตริย์ของชาวยิวอยู่ที่ไหน? เราได้เห็นดาวของพระองค์ทางทิศตะวันออกและต้องการบูชาพระองค์” เมื่อกษัตริย์เฮโรดได้ยินเช่นนั้นก็ไม่พอใจ พระองค์ทรงเรียกพวกปุโรหิตและธรรมาจารย์มาพร้อมกัน พวกเขาบอกเขาว่าผู้เผยพระวจนะกล่าวว่าผู้ปกครองจะเกิดในเบธเลเฮม กษัตริย์เฮโรดส่งนักปราชญ์ไปที่เบธเลเฮมเพื่อค้นหากษัตริย์องค์นี้ เมื่อพวกนักปราชญ์ออกจากกรุงเยรูซาเล็ม ดาวดวงนั้นก็พาพวกเขาไปยังบ้านที่พวกเขาพบพระกุมารเยซู พวกเขากราบลงนมัสการ ถวายทองคำ กำยาน และมดยอบแด่พระองค์ พระเจ้าเตือนนักปราชญ์ในความฝันว่าพวกเขาไม่ควรกลับไปหากษัตริย์เฮโรดผู้ชั่วร้าย ดังนั้นพวกเขาจึงกลับบ้านโดยใช้เส้นทางอื่น เหตุผลสำหรับของขวัญจากพระเจ้า พระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า พระองค์ทรงดำเนินชีวิตโดยปราศจากบาปและสมบูรณ์ในทุกทาง เมื่ออายุได้สามสิบปี พระเยซูเริ่มสอนผู้คนเกี่ยวกับพระเจ้าพระบิดาของพระองค์ พระองค์ทรงทำการอัศจรรย์มากมาย เช่น ให้คนตาบอดมองเห็น รักษาโรคต่างๆ ของคนจำนวนมาก หรือแม้แต่ทำให้คนตายเป็นขึ้นมา เหนือสิ่งอื่นใด พระองค์ทรงสอนวิธีที่จะมีชีวิตนิรันดร์ในสวรรค์ แล้วพระองค์ก็สละพระชนม์ชีพเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปของคนทั้งโลก พระคัมภีร์กล่าวไว้ในยอห์น 3:16 ว่า “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ที่บังเกิดมา เพื่อผู้ใดที่เชื่อในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวินิรันดร์” พระเยซูเสด็จมาบนโลกนี้เพื่อสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อเป็นเครื่องบูชาอันสูงสุด โดยการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ ราคาสำหรับความบาปทั้งหมดได้รับการชดใช้ ไม่จำเป็นต้องถวายเครื่องบูชาไถ่บาปอีกต่อไป นี่คือการปฏิบัติตามพระสัญญาของพระเจ้าที่จะส่งพระผู้ช่วยให้รอด
ความท้าทายในการตัดสินใจ
ในการดำเนินชีวิตของมนุษย์หลายครั้งที่ต้องเข้าสู่จุดแห่งการตัดสินใจ อันที่จริงทุกๆ วันก็มีการตัดสินใจอยู่แล้ว การเลือกบางอย่างใช้ความคิดเพียงเล็กน้อย บางอย่างก็ต้องใช้ความคิดและการพิจารณาอย่างมาก ยิ่งในเรื่องที่สำคัญมากก็ยิ่งต้องใส่ใจมาก คำถามคือ คุณคิดว่าอะไรสำคัญ? เมื่อพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ พระองค์ประทานสิทธิพิเศษในการเลือกแก่เขา เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบหรือผลของการเลือกของเรา เพราะหลายอย่างจะมีผลตลอดกาล ให้เรามาดูการตัดสินใจเลือกของบุคคลในพระคัมภีร์สองสามท่าน บางคนก็เลือกดีและบางคนก็เลือกไม่ค่อยดีนัก โมเสส ซึ่งเป็นคนของพระเจ้า เลือก “การร่วมทุกข์กับชนชาติของพระเจ้า แทนการเริงสำราญในความบาปสักเวลาหนึ่ง” (ฮีบรู 11:25) เขามองดูรางวัลที่ได้หลังจากชีวิตนี้ การเลือกเข้ากลุ่มผู้เชื่อคริสเตียนเป็นทางเลือกที่ฉลาดอย่างแท้จริง ก่อนน้ำจะท่วมโลก “บุตรชายทั้งหลายของพระเจ้าเห็นว่าบุตรสาวทั้งหลายของมนุษย์สวยงาม และพวกเขารับเธอทั้งหลายไว้เป็นภรรยาตามชอบใจของพวกเขา” (ปฐมกาล 6:2) พวกเขาได้เลือกตามเนื้อหนังซึ่งจบลงด้วยความพินาศ “ดังนั้นโลทจึงเลือกบรรดาที่ราบลุ่มของแม่น้ำจอร์แดน… และตั้งเต็นท์ใกล้เมืองโสโดม” (ปฐมกาล 13:11-12) ทุ่งหญ้าที่นั่นอุดมสมบูรณ์และเขาได้รับทรัพย์สินเป็นพร แต่เขาสูญเสียทุกอย่างเมื่อเมืองโสโดมถูกทำลาย โยเซฟในวัยหนุ่มเลือกที่จะบริสุทธ์และเที่ยงธรรม และเขาได้รับเกียรติสูงสุดในอาณาจักรอียิปต์ (ปฐมกาล 41:41) โยชูวาผู้รับใช้ของพระเจ้า ท้าทายลูกหลานของอิสราเอลว่า “จงเลือกเสียในวันนี้ว่าท่านจะปรนนิบัติผู้ใด” (โยชูวา 24:15) เขากล่าวว่า " ส่วนข้าพเจ้าและครอบครัวของข้าพเจ้า เราจะปรนนิบัติพระเยโฮวาห์" ประชาชนตอบว่า “ข้าพเจ้าทั้งหลายจะปรนนิบัติพระเยโฮวาห์ด้วย” ตราบใดที่พวกเขายำเกรงพระเจ้าและรับใช้พระองค์อย่างซื่อสัตย์ พวกเขาก็เจริญรุ่งเรือง ในช่วงเวลาของผู้เผยพระวจนะเอลียาห์ ผู้คนลืมพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำเพื่อพวกเขา และหลายคนหันไปบูชารูปเคารพ (พระบาอัล) ซึ่งทำให้พระเจ้าไม่พอพระทัยอย่างมาก พระองค์ทรงใช้เอลียาห์ในช่วงเวลาสำคัญนี้อย่างน่าทึ่งที่สุดเพื่อแสดงฤทธิ์อำนาจอันไร้ขอบเขตของพระองค์ บนภูเขาคาร์เมล เอลียาห์เรียกไฟตกลงมาจากสวรรค์เผาผลาญเครื่องบูชาที่เขาเตรียมไว้ เป็นการพิสูจน์ว่าพระเจ้าเป็นพระเจ้าอย่างแท้จริง เขาถามประชาชนว่า “พวกท่านจะยุติความคิดเห็นทั้งสองนานเท่าใด ถ้าพระเจ้าเป็นพระเจ้าตามเขา แต่ถ้าบาอัล ก็จงตามเขาไป” หลังจากที่พวกเขาเห็นไฟลงมา “พวกเขาซบหน้าลงและพวกเขากล่าวว่า พระเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า พระเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า” (1 พงศ์กษัตริย์ 18) ดาเนียลชายหนุ่มที่เป็นเชลยในดินแดนบาบิโลนตัดสินใจเลือกที่จะไม่ทำให้ตนเองเป็นมลทินด้วยการกินอาหารและเหล้าองุ่นของกษัตริย์ (ดาเนียล 1:8) ผลก็คือเขาและสหายทั้งสามของเขาที่ตัดสินใจเลือกอย่างเดียวกันได้รับความโปรดปรานจากพระเจ้าและกษัตริย์ หากพวกเขาไม่เลือกทำการนี้ ตัวอย่างของดาเนียลในถ้ำสิงโตและชายสามคนในเตาไฟก็จะไม่ถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ พระเยซูทรงให้คำอุปมาเรื่องบิดาที่มีบุตรชายสองคน คนหนึ่งเลือกที่จะเอามรดกของเขาและเดินทางไปยังดินแดนที่อยู่ห่างไกล (ทำบาป) มันไม่ใช่ทางเลือกที่ดี หลังจากที่เขาใช้เงินทั้งหมด เขาก็ตระหนักว่าเขาทำผิดพลาดครั้งใหญ่เพียงใด เขาเลือกกลับบ้านอย่างนอบน้อมถ่อมตน ช่างเป็นการกลับคืนสู่ครอบครัวที่มีความสุขจริงๆ (ลูกา 15:11-32)! การเลือกโลกด้วยความพึงพอใจจะจบลงด้วยความพินาศ (2 เปโตร 3:10-11) การตัดสินใจเข้าร่วมกับลูกของพระเจ้าแทนที่จะไปตามทางของโลกคือการเลือกที่ดีและฉลาด การมีพระคริสต์เป็นเพื่อนจะนำเราไปสู่ที่ปรึกษามหัศจรรย์ที่จะนำทางเราในการตัดสินใจทุกอย่างของชีวิต
ความรัก…ช่างเป็นคำที่สวยงามในทุกๆ ภาษา เมื่อนึกถึงความหมายเรามักคิดถึง ความรักใคร่ ความชอบ ความห่วงใย ความอบอุ่น ความเมตตา ความเข้าใจ ความปลอดภัย และแม่ แต่ลองคิดดูดีๆ ว่าคำที่สวยงามนี้หมายถึงอะไรกันแน่? คุณปรารถนาที่จะได้รับความรักไหม? คุณมีความรักหรือเปล่า? พระเจ้าคือความรักและความรักของพระองค์ที่สถิตอยู่ในหัวใจของคุณสามารถช่วยให้คุณรักและได้รับความรัก ที่มาของความรักทั้งหมดคือพระเจ้า 1 ยอห์น 4:16 กล่าวว่า “ฉะนั้นเราจึงรู้ และวางใจในความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อเรา พระเจ้าทรงเป็นความรัก และผู้ที่อยู่ในความรักก็อยู่ในพระเจ้า และพระเจ้าก็ทรงอยู่ในคนนั้น” ไม่มีใครค้นพบความรักที่แท้จริงได้ยกเว้นความรักที่มาจากพระเจ้า สิ่งที่ตรงกันข้ามกับความรัก ได้แก่ ความเกลียดชัง ความไม่ไว้วางใจ ความเห็นแก่ตัว และสงคราม เพียงแค่เรามองดูสภาพสังคมโลกและครอบครัว เราก็จะเห็นว่าความรักมีความจำเป็นอย่างยิ่ง แล้วคุณล่ะ คุณรู้สึกว่าคุณเป็นที่รักไหม? คุณรู้สึกปวดร้าวในใจ ความเหงาที่ไม่จางหายเพราะไม่ได้รับความรักหรือความอบอุ่นไหม? บางครั้งคุณรู้สึกว่าไม่มีใครสนใจไหม? คุณเติบโตมาในครอบครัวที่พ่อแม่ไม่รักกันหรือไม่ พ่อแม่รักลูกหรือเปล่า? ความรู้สึกเหล่านี้เป็นเรื่องปกติในโลกปัจจุบันซึ่งเต็มไปด้วยทัศนคติที่ว่า “ฉันก่อน” หัวใจที่ปวดร้าวเป็นผลจากการที่บุคคลหมกมุ่นอยู่กับผลประโยชน์ที่เห็นแก่ตัวของตนเอง ความรักไม่ใช่แรงดึงดูดที่เย้ายวนที่พยายามสนองตัณหาในตัวเองโดยมักจะให้อีกฝ่ายเสียประโยชน์ แรงดึงดูดนี้ บางคนอาจเรียกว่าความรักซึ่งเป็นความเห็นแก่ตัวเพราะมันเป็นการสร้างความพอใจให้ตนเอง ความรักไม่ควรสร้างเกียรติหรือความสุขให้ตนเอง ความยากลำบากในชีวิตไม่ได้บ่งชี้ว่าพระเจ้าไม่รักเรา บางครั้งพระเจ้าก็ยอมให้เราพบกับความยุ่งยากลำบากเพื่อประโยชน์ของเรา พ่อแม่ที่มีความรักที่แท้จริงจะไม่ให้ทุกสิ่งที่ลูกต้องการเสมอไป แต่กันไว้เพื่อประโยชน์ของเขาเอง ความรักคือการเสียสละตนเอง มองหาความดีของผู้อื่น ความรักนั้นอบอุ่น เห็นอกเห็นใจและมีเมตตา หากเรารักที่แท้จริง เราจะดูแลความผาสุกของผู้ที่อยู่ใกล้ตัวเราทั้งในปัจจุบันและอนาคต ผู้ที่เป็นสามีและพ่อจะแสดงความรักต่อภรรยาและลูกๆ เขายินดีที่จะให้และเสียสละตนเองเพื่อสร้างบรรยากาศแห่งความรักและความเป็นอยู่ที่ดี ภรรยาและแม่จะเคารพสามีและปลูกฝังให้ลูก ๆ เคารพรักพ่อแม่และรักซึ่งกันและกัน เธอจะเตรียมความปลอดภัยและความสงบสุขสำหรับทุกคนในครอบครัว พระคริสต์ทรงเป็นแบบอย่างของความรักโดยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนอย่างไม่สมควร หากคุณรู้สึกว่าต้องการความรัก จิตใจรู้สึกอ้างว้าง คุณจะพบรักแท้ได้ คุณสามารถหาสิ่งนี้ได้โดยมอบถวายชีวิตตัวเองให้กับพระเจ้า พระเจ้ารักคุณด้วยความเมตตาและความห่วงใยที่ไม่มีขอบเขต พระองค์ทรงห่วงใย ต้องการแบ่งปันและช่วยเหลือคุณในช่วงเวลาที่ปวดร้าว หากคุณรู้สึกโดดเดี่ยวและคิดว่าไม่มีใครสนใจ คุณสามารถวางใจได้ว่าพระเจ้ารู้สึกถึงความปวดใจและเศร้าโศกของคุณในเวลาที่คุณเหงาและท้อแท้ พระองค์อยู่ที่นั่นเพื่อปลอบประโลม มอบความเข้มแข็ง และการนำทางให้แก่คุณหากคุณหันมาหาพระองค์ หากคุณไม่รู้ว่าจะเข้าถึงพระเจ้าได้อย่างไร เพียงแค่เทใจของคุณให้กับพระองค์แล้วพระองค์จะทรงสดับฟัง ถ้าคุณรู้สึกว่าคุณไม่สามารถไว้ใจใครได้เลย ก็ร้องทูลต่อพระองค์ แล้วขอให้พระองค์ทรงชี้ทาง หากคุณรู้สึกว่าคุณเป็นคนบาปโดยไม่คาดหวังว่าจะได้รับความรักและการให้อภัย ให้คุณมาหาพระเจ้าด้วยสุดใจของคุณ กลับใจและละทิ้งความบาปในอดีตของคุณ พระองค์จะทรงเป็นพระบิดาที่รักของคุณ หากคุณมาหาพระองค์ด้วยสุดใจ และเต็มใจเชื่อฟังทุกสิ่งที่พระองค์ขอจากคุณ เมื่อพระเจ้าให้อภัยและยอมรับคุณ คุณจะสัมผัสรู้สึกถึงความรักและได้รับสัมพันธ์ภาพของพระองค์ซึ่งไม่มีอะไรมาพรากไปได้ ความสัมพันธ์นี้จะพังทลายก็ต่อเมื่อเราหันหลังให้พระองค์ ความเหงาและความทุกข์ของคุณจะหมดไป ให้พระเจ้าควบคุมชีวิตของคุณ สัมผัสความรักของพระเจ้าซึ่งเป็นหนึ่งในพระพรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษย์ ขอพระเจ้าอวยพรคุณ 1 โครินธ์ 13:1-8, 13
ผู้คนต่างเหนื่อยล้าและวิตกกังวล แน่นอนว่าพวกเขาต้องการคำชี้แนะแนวทาง ความมั่นคงปลอดภัยอย่างไม่ต้องสงสัย สิ่งที่เราต้องการและจำเป็นอย่างยิ่งยวดคือความสงบในจิตใจ ความสงบในจิตใจ - ช่างเป็นสมบัติล้ำค่า! เราสามารถค้นหาสมบัติชิ้นนี้ในโลกที่มีความขัดแย้ง ความสิ้นหวัง ความวุ่นวายและปัญหามากมายได้หรือไม่? การค้นหาครั้งยิ่งใหญ่ได้เริ่มขึ้นแล้ว! หลายคนแสวงหาความสงบสุขจากชื่อเสียงและโชคลาภ ความพึงพอใจและอำนาจ การศึกษาและความรู้ ในความสัมพันธ์ของมนุษย์และการแต่งงาน พวกเขาปรารถนาที่จะเติมเต็มความรู้และความมั่งคั่งในกระเป๋าของพวกเขา แต่จิตวิญญาณของพวกเขายังคงว่างเปล่า บางคนหาทางหนีความจริงของชีวิตด้วยยาเสพติดหรือแอลกอฮอล์ แต่ความสงบสุขที่พวกเขาแสวงหากลับหลีกหนีพวกเขา พวกเขายังคงว่างเปล่าและอ้างว้าง ยังคงอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยปัญหาด้วยจิตใจที่เป็นปัญหา มนุษย์ในความวุ่นวาย พระเจ้าได้สร้างมนุษย์และให้พวกอยู่ในสวนที่สวยงามเพื่อเพลิดเพลินกับความสงบ ความยินดี และความสุขที่สมบูรณ์แบบ แต่เมื่ออาดัมและเอวาไม่เชื่อฟัง พวกเขารู้สึกผิดทันที เมื่อก่อนพวกเขารอคอยการปรากฏตัวของพระเจ้า บัดนี้พวกเขาต้องซ่อนตัวด้วยความละอาย ความรู้สึกผิดและความกลัวเข้ามาแทนที่ความสงบสุขและความสุขที่พวกเขารู้จัก บาปของมนุษย์เป็นจุดเริ่มต้นของโลกที่มีปัญหาและจิตใจที่มีปัญหา แม้ว่าจิตวิญญาณของเราจะโหยหาพระเจ้า แต่ธรรมชาติที่เป็นบาปของเราจะกบฏต่อวิถีทางของพระองค์ การต่อสู้ภายในนี้ทำให้เกิดความตึงเครียดและความทุกข์ เมื่อเราเป็นเหมือนอาดัมและเอวาที่มีความปรารถนาและความทะเยอทะยานเอาตนเองเป็นศูนย์กลาง เราจะกระวนกระวายและวิตกกังวล ยิ่งเราสนใจตัวเองมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งมีปัญหามากขึ้นเท่านั้น ความไม่แน่นอนของชีวิตและโลกที่เสื่อมโทรมและการเปลี่ยนแปลงสั่นคลอนความมั่นคงของเราและรบกวนความสงบสุขของเรา แม้ว่าคุณอาจไม่ตระหนักหรือรับรู้มัน ความบาปอาจเป็นสาเหตุของความไม่สบายใจของคุณ หลายคนค้นหาวัตถุและสิ่งภายนอกเพื่อความสงบ พวกเขาตำหนิโลกที่มีปัญหาที่สร้างปัญหาให้กับจิตใจของพวกเขา แต่กลับมองไม่เห็นภายในใจของตน พระเยซูคริสต์ เจ้าชายแห่งสันติภาพ จะไม่มีความสงบสุขเกิดขึ้นจนกว่าทุกด้านของชีวิตจะประสานกับพระองค์ผู้ทรงสร้างและเข้าใจเรา สิ่งนี้เป็นไปได้โดยการยอมจำนนต่อพระคริสต์อย่างสมบูรณ์เท่านั้น พระองค์ไม่เพียงแต่เป็นเจ้าโลกเท่านั้น แต่ทรงรู้จักชีวิตของเราตั้งแต่ต้นจนจบ ทรงนึกถึงเราเมื่อเสด็จมาในโลก “เพื่อจะส่องสว่างแก่คนทั้งหลายผู้อยู่ในที่มืด และในเงาแห่งความตาย เพื่อจะนำเท้าของเราไปในทางสันติสุข” (ลูกา 1:79) พระเยซูประทานแสงสว่างแทนความมืด สันติแทนความขัดแย้ง ความสุขแทนความเศร้า ความหวังแทนความสิ้นหวัง และชีวิตแทนความตาย พระองค์ตรัสในพระธรรมยอห์น 14:27 ว่า “เรามอบสันติสุขไว้ให้แก่ท่านแล้ว สันติสุขของเราที่ให้แก่ท่านนั้น เราให้ท่านไม่เหมือนโลกให้ อย่าให้ใจของท่านวิตกและอย่ากลัวเลย” การกลับใจทำให้จิตใจสงบ เมื่อคุณรู้สึกว่าบาปทำให้คุณหนักอึ้ง การเยียวยาคือ “จงหันกลับและตั้งใจใหม่ เพื่อจะทรงลบล้างความผิดบาปของท่านเสีย” (กิจการ 3:19) พระเยซูเชิญคุณเข้าสู่ประสบการณ์ที่มีความหมายและเปลี่ยนแปลงชีวิต “บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนักจงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลายหายเหนื่อยเป็นสุข” (มัทธิว 11:28) 1 ยอห์น 1:9 สัญญาว่า “ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา และจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น” คุณจะยอมรับคำเชิญของพระองค์หรือไม่? เมื่อคุณมาหาพระเยซู คุณจะพบการให้อภัยและอิสรภาพ หัวใจของคุณจะเต็มไปด้วยความรักและความเมตตา แทนที่จะเป็นความขุ่นเคืองและการไม่ให้อภัย เมื่อพระเยซูครอบครองหัวใจของคุณ คุณจะรักศัตรูของคุณ สิ่งนี้เป็นไปได้โดยฤทธิ์อำนาจแห่งพระโลหิตแห่งการไถ่ของพระคริสต์ อยู่อย่างสงบ ฉันรู้จักสันติสุข ในที่ซึ่งไม่มีสันติสุข ความสงบในที่ซึ่งเต็มไปด้วยลมพายุ
คำตอบสำหรับคุณ
วันหนึ่งพระเยซูทรงเดินทางไปกับเพื่อนๆ ของพระองค์ พระองค์มาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งในแคว้นสะมาเรีย ทรงนั่งลงข้างบ่อน้ำเพื่อพักผ่อนขณะที่เพื่อนๆ ไปซื้ออาหาร ขณะที่พระเยซูนั่งอยู่ที่นั่น มีหญิงคนหนึ่งมาตักน้ำจากบ่อ พระองค์ตรัสถามนางว่า “ขอน้ำดื่มหน่อยได้ไหม?” หญิงคนนั้นประหลาดใจ “ท่านขอน้ำดิฉันดื่มหรือ?” เธอถาม “ท่านไม่รู้หรือว่าดิฉันเป็นชาวสะมาเรียและชาวยิวไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรา?” พระเยซูตรัสตอบอย่างอ่อนโยนว่า “ถ้าเจ้ารู้จักพระเจ้าจริงๆ และรู้ว่ากำลังพูดกับใคร เจ้าคงขอให้เรามอบน้ำดำรงชีวิตแก่เจ้า เรายินดีที่จะมอบให้” ผู้หญิงคนนั้นมองพระองค์ด้วยความประหลาดใจ “ท่านค่ะ” เธอกล่าว “บ่อน้ำลึกมากและท่านไม่มีอะไรที่จะตัก ท่านจะตักน้ำดำรงชีวิตนี้ออกมาอย่างไร? “ท่านค่ะ” หญิงคนนั้นพูด “ขอน้ำนี้ให้ดิฉันด้วยเพื่อจะได้ไม่ต้องกระหายอีก และไม่ต้องกลับมาที่นี่เพื่อเอาน้ำ” “จงไปบอกสามีของเจ้า แล้วกลับมาที่นี่” พระเยซูเจ้าตรัส “ดิฉันไม่มีสามี” เธอตอบ “นั่นก็จริง” พระเยซูเจ้าตรัส “เจ้ามีสามีแล้วห้าคน แต่คนที่เจ้ามีตอนนี้ไม่ใช่สามีของเจ้า” ชายคนนี้รู้เกี่ยวกับฉันได้อย่างไร เธอสงสัย “ท่านค่ะ ดิฉันเห็นว่าท่านเป็นผู้เผยพระวจนะ ดิฉันมีคำถามอยากถามท่าน ประชากรของเราได้กราบไหว้พระเจ้า ณ ที่แห่งนี้ ท่านบอกว่ากรุงเยรูซาเล็มเป็นสถานที่สักการะ” พระเยซูตรัสกับเธอว่า “การนมัสการที่ใดไม่สำคัญนัก วันนี้ผู้เชื่อที่แท้จริงสามารถนมัสการพระบิดาด้วยจิตวิญญาณและความจริง “ดิฉันรู้ว่าพระเมสสิยาห์ที่เรียกว่าพระคริสต์กำลังเสด็จมา” เธอกล่าว “และเมื่อพระองค์เสด็จมา พระองค์จะทรงอธิบายทุกอย่าง” จากนั้นพระเยซูก็บอกกับเธอว่า “เราคือพระองค์” เธอทิ้งหม้อน้ำไว้และกลับเข้าไปในเมือง “มาเถิด” เธอร้อง “มาดูชายผู้หนึ่งซึ่งบอกทุกสิ่งที่ฉันเคยทำมาให้ฉันฟัง พระองค์ไม่ใช่พระคริสต์หรือ?” แล้วชาวเมืองก็ออกไปเฝ้าพระเยซู หลายคนเชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นพระคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด เพราะพระองค์ทรงทราบทุกอย่างเกี่ยวกับพวกเขา คุณสามารถอ่านเรื่องราวนี้ได้ในพระธรรมยอห์น 4:3-42 พระเยซูคือคำตอบสำหรับทุกความต้องการของคุณและทุกคำถามของคุณ พระองค์ต้องการเป็นเพื่อนของคุณ พระองค์ต้องการเติมเต็มความว่างเปล่าในหัวใจของคุณ พระองค์สามารถแทนที่ความกลัวและความไม่สงบของคุณด้วยสันติและความสงบ พระเยซูตรัสว่า “มาหาเรา…และเราจะให้ท่านได้พักผ่อน” (มัทธิว 11:28) เพียงอธิษฐานถึงพระองค์และขอให้พระองค์เข้ามาในชีวิตของคุณ เมื่อคุณยอมรับพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่องค์นี้ด้วยศรัทธา พระองค์จะประทับอยู่ในหัวใจของคุณ การปรากฏตัวของพระองค์จะทำให้คุณมีความสุข พระองค์จะประทานความแข็งแกร่งและจุดมุ่งหมายในชีวิตแก่คุณ พระองค์จะเป็นคำตอบสำหรับคุณ
บ้านแสนสุข
ครอบครัวที่แสนอบอุ่น พระคัมภีร์ได้ให้พิมพ์เขียวในการสร้างบ้าน (ครอบครัว) แก่เรา โดยมีการออกแบบอย่างสวยงาม มีโครงสร้างที่มั่นคง และบรรยากาศร่มรื่น บ้านอาจเป็นสถานที่แห่งความกลมเกลียวและสำราญใจ หรืออาจเป็นสถานที่แห่งความตึงเครียดและการทะเลาะวิวาท บ้านของคุณมีความสุข แข็งแรง และรอดพ้นจากพายุแห่งชีวิตหรือไม่? บ้าน (ครอบครัว) เป็นหน่วยทางสังคมที่สำคัญ เป็นสิ่งที่พระเจ้ากำหนดบทบาทในการพัฒนาฝ่ายจิตวิญญาณ ความผาสุขทางอารมณ์ และเติมเต็มในฝ่ายร่างกาย แผนการณ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าคือให้สมาชิกในบ้านนำความสุขมาให้กันและกัน และอยู่ด้วยกันด้วยความปรองดอง ทำไมบ้านบางหลังไม่มีความสุข ทำไมบ้านหลายหลังจึงไม่มีความสุข? ทำไมพวกเขาถูกทำลายด้วยความขัดแย้ง การพลัดพราก และการหย่าร้าง? นั่นเป็นเพราะรูปแบบของพระเจ้าถูกละเลย ภายในพระคำของพระองค์พบวัสดุก่อสร้างที่จำเป็นสำหรับบ้านที่มีความสุข บ้านที่สร้างตามพระวจนะของพระองค์เป็นสถานที่แห่งความรัก ความไว้เนื้อเชื่อใจ ผลประโยชน์ร่วมกัน และการรับใช้ซึ่งกันและกันอย่างไม่เห็นแก่ตัว บ้านดังกล่าวจะนำความสุขมาสู่ชีวิตเราและรักษาชุมชนและประเทศชาติของเรา คุณกำลังทำตามแผนของพระเจ้าผู้ทรงเป็นปรมาจารย์แห่งสถาปนิกหรือไม่? “ถ้าพระเยโฮวาห์มิได้ทรงสร้างบ้าน บรรดาผู้ที่สร้างก็เหนื่อยเปล่า” (สดุดี 127:1) การวางรากฐานในวัยหนุ่มสาวเป็นการวางเพื่อบ้านในอนาคต ชีวิตที่บริสุทธิ์ต่อพระพักตร์พระเจ้าเป็นส่วนประกอบสำคัญในการเตรียมตัวสำหรับการแต่งงาน ความบาปก่อนแต่งงานทำลายความมั่นคงทางศีลธรรมและทำให้บ้านในอนาคตตกอยู่ในอันตราย ความเอาแต่ใจในตนเองและความพอใจในตนเองในวัยหนุ่มสาวของเราได้กำหนดรูปแบบการดำรงชีวิตที่ทำลายล้างการแต่งงาน อัตราการหย่าร้างที่สูงก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ข้อเท็จจริงเหล่านี้ บาปเหล่านี้ต้องกลับใจก่อนจึงจะสามารถมีชีวิตใหม่ในพระคริสต์ อดีตควรถูกฝังและพระเจ้าจะเข้ามาพร้อมกับพระพรของพระองค์ ครอบครัวเริ่มต้นเมื่อชายและหญิงแต่งงานกัน พระคัมภีร์กล่าวว่าเราต้องแต่งงาน “ในองค์พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น” (1 โครินธ์ 7:39) หมายความว่าทั้งชายและหญิงได้มอบชีวิตและความต้องการต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าต้องเป็นที่หนึ่ง เมื่อชาย หญิง หรือทั้งสองเห็นแก่ตัว พื้นฐานของความสุขร่วมกันจะอยู่ที่ไหน? การแต่งงานในองค์พระผู้เป็นเจ้า การแต่งงาน “ในองค์พระผู้เป็นเจ้า” ไม่เพียงหมายความว่าชายและหญิงเป็นคริสเตียนเท่านั้น แต่พระเจ้าจะทรงนำพวกเขาเข้ามาหากัน ตัณหา แรงดึงดูดทางกายภาพและความลุ่มหลงเป็นจุดเริ่มต้นที่ไม่ดีสำหรับการแต่งงาน เมื่อสิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐานของการดึงดูดใจซึ่งกันและกัน อาจมีความคับข้องใจและความขัดแย้งหลังการแต่งงาน เมื่อเราวางใจให้พระเจ้านำทางในการเลือกของเรา พระปัญญาอันสูงส่งของพระองค์ทรงมองเห็นคู่ครองที่เราต้องการ ไม่เพียงแต่สำหรับวันนี้เท่านั้นแต่สำหรับปีต่อๆ ไป พระเจ้าอาจเลือกรสนิยมและอารมณ์ที่แตกต่างกัน ซึ่งจะเสริมกันและกัน ส่งผลให้มีหน่วยที่สมดุลมากขึ้น “และเขาทั้งสองจะเป็นเนื้อเดียวกัน” (มาระโก 10:8) การแต่งงานมีขึ้นเพื่อเป็นความผูกพันตลอดชีวิต ไม่ใช่แค่สัญญาทางกฎหมาย พระเยซูตรัสสั่งอย่างชัดเจนว่า “เหตุฉะนั้นซึ่งพระเจ้าได้ทรงผูกพันกันแล้ว อย่าให้มนุษย์ทำให้พรากจากกันเลย” (มัทธิว 19:6) คำสั่งของพระเจ้า “ฝ่ายท่านทั้งหลายที่เป็นภรรยาก็เช่นกัน จงเชื่อฟังสามีของท่าน” (1 เปโตร 3:1) เมื่อภรรยาปฏิบัติตามสามีซึ่งเป็นผู้นำครอบครัว ขณะที่เขาติดตามพระคริสต์อย่างเชื่อฟัง บ้านนั้นจะเป็นที่พำนักแห่งสันติสุขและความพึงพอใจ เอเฟซัส 5:33 กล่าวว่า “และภรรยาก็จงยำเกรงสามีของตน” การเลี่ยงต่อหลักการนี้นำความทุกข์มาสู่ครอบครัวในทุกวันนี้ การก้าวข้ามหลักการนี้ไม่เพียงแต่นำความขัดแย้งมาสู่ชีวิตครอบครัวเท่านั้น แต่ยังนำความขัดแย้งทางฝ่ายจิตวิญญาณมาสู่หัวใจของภรรยาด้วย สถานที่สำหรับเด็ก พระคริสต์ทรงเป็นรากฐาน
แสงสว่างของโลก พระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้า เป็นความจริงนิรันดร์ พระคัมภีร์ประกอบไปด้วยเรื่องราวเกี่ยวกับการทรงสร้าง การไม่เชื่อฟังของมนุษย์ต่อพระเจ้า และความทุกข์ทรมานซึ่งมาสู่มนุษย์เพราะความบาป นอกจากนี้ยังบอกเราถึงความรักขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ในการวางแผนการไถ่ของพระองค์ มีเรื่องราวการประสูติของพระผู้ช่วยให้รอด ผู้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อบาปของมนุษย์ และทรงฟื้นจากความตายเพื่อความรอดของมนุษย์ ใครก็ตามที่เชื่อข้อความนี้จะได้รับการอภัยบาป ได้รับความสงบในจิตใจ ได้รับความรักที่มีต่อมนุษย์ทุกคน ได้รับอำนาจเหนือความบาป และความหวังที่จะมีชีวิตนิรันดร์ การทรงสร้างอันยอดเยี่ยมของพระเจ้า พระเจ้าผู้สร้างจักรวาลทรงเป็นอยู่เสมอ พระองค์อยู่ทุกหนทุกแห่ง ทรงฤทธานุภาพและปรีชาญาณ ทุกสิ่งจึงถูกสร้างขึ้นด้วยฤทธิ์อำนาจอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ พระเจ้าสร้างโลกที่ปกคลุมไปด้วยน้ำ พระองค์ตรัสว่า “จงให้ที่แห้งปรากฏขึ้น” และแผ่นดินก็เกิดขึ้น พระองค์ทรงสร้างเนินเขาและหุบเขา คลุมด้วยหญ้า ดอกไม้สวยงาม และต้นไม้ทุกชนิด พระองค์ทรงสร้างนกที่ร้องเพลงต่างๆ มากมาย พระเจ้าสร้างสัตว์ทั้งเล็กและใหญ่ที่เดินไปตามทุ่งนาและป่าไม้ตลอดจนแมลงขนาดเล็กและสัตว์เลื้อยคลานที่อาศัยอยู่ในพื้นดิน พระองค์ทรงสร้างทะเลสาปและมหาสมุทรและสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่อาศัยอยู่ในนั้น พระองค์สร้างทวีปที่ผู้คนจากทุกเชื้อชาติจะอาศัยอยู่ พระเจ้าสร้างดวงอาทิตย์ให้แสงสว่างและความอบอุ่น และดวงจันทร์ให้แสงสว่างในเวลากลางคืน ทรงประดับท้องฟ้าด้วยดาวระยิบระยับที่สวยงามนับพัน สุดท้าย พระเจ้าได้ทรงปั้นมนุษย์จากผงคลีดิน พระองค์ระบายลมปราณแห่งชีวิตเข้าทางจมูก และมนุษย์ก็กลายเป็นวิญญาณที่มีชีวิต พระเจ้าเรียกเขาว่าอาดัม พระเจ้าเห็นว่าอาดัมต้องการผู้ช่วย ดังนั้นพระองค์จึงทรงทำให้เขาหลับสนิท จากนั้นพระเจ้าก็เอาซี่โครงจากอาดัมมาสร้างผู้หญิงขึ้นมาคนหนึ่ง อาดัมรักเอวาและเธอก็รักเขาเช่นกัน ต่างก็มีสามัคคีธรรมอันแสนหวานต่อกัน นี่คือแผนของพระผู้เป็นเจ้าสำหรับหน่วยครอบครัว พระเจ้าสร้างทุกสิ่งในหกวัน และในวันที่เจ็ดพระองค์ทรงพักผ่อน พระองค์ทอดพระเนตรทุกสิ่งที่ทรงสร้างและเห็นว่าดียิ่งนัก ดังนั้นพระเจ้าจึงทรงอวยพรวันที่เจ็ดและทรงชำระให้เป็นวันพักผ่อนของมนุษย์ พระคัมภีร์กล่าวถึงทูตสวรรค์ที่ตกสู่ความบาปที่เรียกว่าซาตานหรือมาร มันถูกขับออกจากสวรรค์และเป็นสาเหตุของความชั่วร้ายทั้งหมด มันทำให้ความโศก ความทุกข์ ความเจ็บไข้ ความตายเข้ามาในโลก จุดเริ่มต้นที่น่าเศร้าของบาป พระเจ้ารักอาดัมและเอวา พระองค์ทรงสร้างสวนสวยงามให้พวกเขาอยู่อาศัยเรียกว่าสวนเอเดน อาดัมต้องดูแลมัน ในสวนนี้มีผักและผลไม้มากมายให้พวกเขากิน มีต้นไม้ต้นหนึ่งชื่อว่า ต้นไม้แห่งการรู้ดีรู้ชั่ว พระเจ้าบอกอาดัมว่าเขาไม่ควรกินต้นไม้นั้น เพราะในวันที่เขากินจากต้นนั้น เขาจะต้องตายอย่างแน่นอน วันหนึ่งซาตานมาหาเอวาและโกหกเธอ มันบอกว่า “เจ้าจะไม่ตายแน่…เจ้าจะเป็นเหมือนพระเจ้าที่รู้ดีรู้ชั่ว” (ปฐมกาล 3:4-5) เมื่อเธอมองดูผลของต้นไม้ที่สวยงามนี้ เธอเห็นว่ามันน่ารับประทาน และการกินก็ทำให้เกิดปัญญา เธอหยิบผลไม้ให้อาดัม แล้วทั้งสองคนก็กิน ทันใดนั้นพวกเขาก็รู้สึกผิดในใจ พวกเขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน พวกเขารู้ว่าพวกเขาทำสิ่งที่ผิดอย่างร้ายแรง ทั้งสองรู้สึกละอายใจเมื่อนึกถึงการไม่เชื่อฟังของพวกเขา ความกลัวเข้ามาในใจพวกเขาเมื่อนึกถึงการที่จะต้องพบพระเจ้า ดังนั้นพวกเขาจึงซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางต้นไม้ในสวน ในช่วงเย็น พระเจ้าเรียกอาดัมและถามว่า “เจ้าอยู่ที่ไหน” พวกเขาไม่สามารถซ่อนตัวจากพระเจ้าได้ ดังนั้นพวกเขาจึงเข้ามาเฝ้าพระองค์และยอมรับการกระทำผิดของพวกเขา พระเจ้าทำให้พวกเขาเข้าใจว่าการไม่เชื่อฟังพระบัญชาของพระองค์เป็นบาปใหญ่เพียงใด พระองค์บอกพวกเขาว่าพวกเขาจะต้องถูกลงโทษสำหรับการไม่เชื่อฟังของพวกเขา ตอนนี้พวกเขาจะต้องเจอกับความเจ็บปวดและปัญหาในชีวิต พวกเขาจะต้องทำงานหาเลี้ยงชีพ ร่างกายของพวกเขาจะแก่และทรุดโทรม พวกเขาจะตายและกลับไปเป็นผงคลีดินอีกครั้ง หลังจากที่พวกเขาถูกขับออกจากสวนที่สวยงามแห่งนี้แล้ว พระเจ้าได้ทรงตั้งเครูบถือดาบเพลิงเพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขากินต้นไม้แห่งชีวิต พวกเขาเริ่มเข้าใจผลของบาปและความเศร้าโศกที่ยิ่งใหญ่ที่นำมา ผลลัพธ์อันน่าเศร้าของการทำบาป พระเจ้ารักโลกมากจนได้ประทานพระบุตร พระเยซูเสนอชีวิตนิรันดร์
ทุกคนบูชาบางสิ่งบางอย่าง บางคนบูชาวัตถุ บูชามนุษย์ รูปเคารพ และบางคนบูชาตัวเอง พวกเขาแสดงความจงรักภักดีต่อเทพเจ้าของพวกเขาในรูปแบบต่างๆ ในขณะที่พวกเขาอุทิศตนเพื่อเทพเจ้าแต่ในใจของพวกเขายังคงมีความปรารถนาและร่ำร้องอยู่ พวกเขาพบเพียงความโล่งใจชั่วครั้งชั่วคราวที่ตอบสนองต่อการเรียกร้องของจิตวิญญาณและมีความกล้าที่จะเผชิญในวันรุ่งขึ้นอีกนิดหน่อย ความผิดหวังในอนาคตของพวกเขาก็เป็นเฉกเช่นเดียวกันกับอดีต เทพเจ้าที่พวกเขารับใช้ไม่สามารถเติมเต็มความว่างเปล่าในชีวิตได้ คุณบูชาใคร? เทพเจ้าของคุณอยู่ที่ไหน? เขายังมีชีวิตอยู่ไหม? วันนี้เขาทำอะไรให้คุณบ้าง? วันนี้คุณคุยกับเขาหรือยัง? เขาตอบเสียงร้องในหัวใจของคุณหรือไม่? คุณเชื่ออะไร? ฉันอยากจะแนะนำคุณให้รู้จักพระเจ้าที่แท้จริงองค์เดียวที่พิชิตซาตาน ศัตรูตัวฉกาจของเรา พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแห่งการทรงสร้าง ผู้ทรงตรัสทุกสิ่งให้เกิดขึ้นจริง พระคัมภีร์จะบอกคุณถึงพระเจ้าแห่งสวรรค์องค์นี้ ผู้ทรงสร้างมนุษย์จากผงคลีดิน ให้เรามาอ่านพระธรรมปฐมกาลบทที่หนึ่งและสอง พระองค์ทรงเป็นพระเจ้านิรันดร์ พระองค์ไม่มีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด ทรงเป็นเหมือนเดิมเมื่อวาน วันนี้ และตลอดไป พระองค์ทรงเป็นพระผู้สร้าง ทรงพิทักษ์และค้ำจุนทุกสิ่ง (กิจการ 17:22-34) พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่องค์นี้ ผู้สถิตในสวรรค์ยังสนใจคุณในฐานะบุคคล พระองค์เห็นคุณท่ามกลางผู้คนมากมาย พระองค์รักและห่วงใยคุณ ทรงอยากเป็นมากกว่าเพื่อนของคุณ พระองค์ทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของคุณ พระองค์ต้องการอยู่กับคุณ และยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ยังต้องการอยู่ในตัวคุณ พระองค์ตรัสว่า “จงเข้าสนิทอยู่ในเรา และเราเข้าสนิทอยู่ในท่าน” (ยอห์น 15:4) ถ้าพระองค์ไม่สถิตอยู่ในใจคุณ แล้วจะมีใครเล่า? เมื่อดูให้ดี เราจะเห็นว่าซาตานกำลังปกครองและทำลายชีวิตผู้คนจำนวนมาก มันครอบครองหัวใจผู้คนเหล่านั้นและแนะนำความชั่วร้ายทั้งหลายเช่น การโกหก การขโมย ความต้องการทางเพศ การโกง การแสวงหาการแก้แค้น และการโปรโมตตัวเอง หากซาตานอยู่ในใจคุณ และชักจูงให้คุณหลงระเริงกับบาปเหล่านี้และอื่น ๆ ทำไมไม่ลองมาหาพระเจ้าแห่งเทพเจ้า ผู้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์คือพระเยซูคริสต์ให้ตายเพื่อบาปของคุณและบาปของโลกทั้งหมด (ยอห์น 3:16) คุณถามว่า “มันจะเป็นจริงได้อย่างไร? พระองค์ผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ทรงฤทธานุภาพจะทรงสถิตอยู่ในใจฉันได้อย่างไร?” (อิสยาห์ 57:15) หากคุณป่วยและเหนื่อยกับความบาป ทำไมไม่ร้องทูลพระเจ้าและกลับใจเสียใหม่ โดยความเชื่อในพระเจ้าและโดยพระโลหิตแห่งการไถ่ของพระคริสต์ บาปของคุณจะได้รับการอภัยและคุณจะได้รับธรรมชาติใหม่ เมื่อซาตานมาทดลอง คุณจะรู้สึกถึงการประทับของพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพ พระองค์จะประทานการชี้นำและสอนคุณในทุกสิ่ง (ยอห์น 14:26) ในยอห์น 10:10 พระเยซูทรงสัญญาถึงชีวิตที่ครบบริบูรณ์และพระองค์สามารถประทานชีวิตนั้นแก่คุณได้ ของประทานนี้จะเป็นของคุณตราบเท่าที่คุณยังคงซื่อสัตย์และเชื่อฟังพระองค์ “ถ้าเจ้าเต็มใจและเชื่อฟัง เจ้าจะได้กินผลดีแห่งแผ่นดิน” (อิสยาห์ 1:19) ไม่มีพระเจ้าอื่นใดยิ่งใหญ่เท่านี้
ฉันมีข่าวดีที่จะบอกคุณ! มีคนผู้หนึ่งที่สามารถช่วยคุณได้ เขาสามารถยกโทษบาปของคุณและให้ความสุขที่ยั่งยืนแก่คุณ ชื่อของเขาคือพระเยซู ฉันอยากจะเล่าเรื่องราวของพระองค์ให้คุณได้ฟัง พระบิดาของพระองค์คือพระเจ้าผู้ทรงสร้างโลก พระองค์ทรงสร้างทุกสิ่งในโลกนี้ให้กับคุณและฉัน พระเจ้ารักเรา ทรงรักทุกคนในโลก พระเจ้ารักเรามากจนส่งพระเยซูพระบุตรองค์เดียวของพระองค์มายังโลกนี้ เมื่อพระเยซูอยู่บนโลกนี้ พระองค์ทรงรักษาคนเจ็บป่วยและปลอบโยนคนเศร้า รักษาคนตาบอดให้หายและสั่งสอนหลายสิ่งหลายอย่างให้แก่ผู้คน พระเยซูต้องการให้เราเข้าใจถึงความรักอันยิ่งใหญ่ที่พระบิดามีต่อคุณและฉัน พระองค์ทรงเล่าเรื่องๆหนึ่งที่อธิบายความรักของพระบิดา คุณสามารถหาอ่านได้ในพระธรรมลูกา 15:11-24 ชายคนหนึ่งมีบุตรชายสองคน เขาคิดว่าทุกอย่างดำเนินไปด้วยดี จนกระทั่งวันหนึ่งบุตรชายคนหนึ่งคิดกบฎและมาหาเขาและพูดว่า “ฉันไม่ชอบบ้านหลังนี้ ฉันต้องการไปตามเส้นทางของตัวเอง ฉันจะไปจากบ้านหลังนี้ ช่วยแบ่งมรดกให้ฉันด้วย” พ่อเสียใจมาก แต่เขาก็ให้เงินแก่บุตรชายและปล่อยเขาไป เขาสงสัยว่าเขาจะได้พบบุตรชายของเขาอีกหรือไม่ ลูกชายจากไปไกล เขามีความสุขกับการใช้เงินและเพื่อนๆ เขาใช้จ่ายเงินโดยประมาทด้วยการใช้ชีวิตที่เห็นแก่ตัว เขาคิดว่าเขากำลังมีช่วงเวลาดีๆ จนกระทั่งจู่ๆ เงินของเขาก็หมดและเพื่อนๆ ก็ทิ้งเขาไป เขาอยู่คนเดียวและขัดสน ตอนนี้เขาควรทำอย่างไร? เขาไปหาชาวนาและชาวนาก็ส่งเขาไปเลี้ยงหมู เขาได้กินอาหารเพียงเล็กน้อย เขาหิวมากจนต้องกินอาหารหมู เขาเริ่มคิดถึงสิ่งเลวร้ายทั้งหลายที่เขาได้ทำลงไปรวมถึงสิ่งที่กระทำต่อพ่อของเขา เขามีความทุกข์มากขึ้นเรื่อยๆ อยู่มาวันหนึ่งเขาระลึกถึงความรักของพ่อที่มีต่อเขามากมายเพียงใด เขาได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีขณะที่เขาอยู่ที่บ้าน แม้แต่คนใช้ของพ่อก็ยังมีอาหารกินอย่างมากมาย เขาคิดว่า “ฉันสามารถกลับไปหาพ่อหลังจากทำสิ่งเลวร้ายต่อท่านได้ไหมนะ? ท่านจะยังรักฉันอยู่ไหมนะ? ฉันไม่คู่ควรที่จะเป็นลูกของท่าน ฉันเต็มใจที่จะเป็นแค่คนรับใช้หากเพียงท่านรับฉันเข้าไป” ทันใดนั้น เขาก็ลุกขึ้นและเดินทางกลับไปหาพ่อของเขา เขาอยากรู้ว่าพ่อของเขาจะให้อภัยเขาหรือไม่ พ่อเฝ้ารอคอยนับตั้งแต่บุตรชายจากไป เขามักจะสงสัยว่า “เขาจะกลับมาไหมนะ” วันหนึ่งเขาเห็นใครบางคนเดินมาแต่ไกล นั่นอาจจะเป็นลูกชายของเขา เมื่อเห็นดังนั้น เขาก็วิ่งไปโอบกอดบุตรชายของเขา “พ่อครับ” บุตรชายกล่าว “ลูกได้ทำบาปต่อพ่อแล้ว ลูกไม่คู่ควรที่จะเป็นลูกของพ่อ” แต่พ่อของเขากล่าวว่า “จงนำเสื้อผ้าที่ดีที่สุดมาให้ลูกชายของฉันและจงเตรียมงานเลี้ยง ลูกชายของฉันหายไป แต่ตอนนี้ฉันพบเขาแล้ว” เราทุกคนเป็นเหมือนลูกชายคนนี้ เราทุกคนหลงจากพระเจ้าซึ่งเป็นพระบิดาของเรา เราได้เสียโอกาสและสิ่งดีๆ มากมายที่พระองค์ประทานแก่เรา เราดำเนินชีวิตอย่างเห็นแก่ตัวและกบฏต่อพระองค์ วันนี้พระบิดาบนสวรรค์ทรงเชิญเราให้มาหาพระเยซู พระองค์กำลังรอเราด้วยอ้อมแขนของพระองค์ พระเยซูทรงแสดงความรักของพระองค์แก่เราโดยการสละพระชนม์ชีพของพระองค์เป็นเครื่องบูชาไถ่บาปของเราและของคนทั้งโลก พระองค์ทรงทนรับความเจ็บปวดและการปฏิเสธขณะทรงยอมให้คนชั่วร้ายตรึงพระองค์ไว้ที่กางเขน โดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า พระองค์ทรงฟื้นจากความตายและทรงพระชนม์อยู่เป็นนิตย์ จงกลับมาหาพระเยซูและขอให้พระองค์ยกโทษบาปของคุณ เมื่อพระองค์ทรงเห็นว่าคุณเสียใจในความผิดที่คุณทำ พระองค์จะทรงยกโทษให้คุณและล้างบาปทั้งหมดของคุณออกด้วยพระโลหิตที่หลั่งไหลของพระองค์ มันจะเป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยม! คุณจะกลายเป็นคนใหม่ ชีวิตจะมีความหมายใหม่ พระเยซูจะประทานความสุขแทนที่ความรู้สึกผิดและความกลัวของคุณ พระองค์จะเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของคุณ